Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

ต้องขออภัยที่ห่างหายไปนานสำหรับส่วนของสัมภาษณ์บุคคลต่างๆนะครับ ในครั้งที่ผ่านมา เราได้สัมภาษณ์คอสเพลย์เยอร์หลากหลายคน สัมภาษณ์ผู้จัดงาน และในครั้งนี้นั้น เราจะมาทำความรู้จักกับมุมมองตากล้องคอสเพลย์ท่านหนึ่ง คุณ Gatekeeper ครับ

หลายๆคน ตากล้องท่านนี้อาจจะเพียงแค่คุ้นหน้า แต่สำหรับอีกหลายคนตากล้องท่านนี้อาจจะเป็นทั้งพี่ชายที่คอยดูแล เป็นตากล้องที่เคารพและสำหรับอีกหลายท่านที่เคยเห็นตากล้องที่มีท่าทางการถ่ายที่ไม่เหมือนใคร

เรามาลองอ่านบทสัมภาษณ์กันนะครับ

Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

สำหรับบทสัมภาษณ์นี้นั้น อาจจะยาวหน่อยนะครับ และด้วยที่ได้มาสัมภาษณ์ในวันที่มีไปรเวทคอสเพลย์พอดี จึงได้ถ่ายบรรยากาศมาประกอบนะครับ

pinkarrow พี่เกต เริ่มสนใจในการถ่ายรูปเมื่อไรและอย่างไร (หมายถึงการถ่ายรูปทั่วๆไป)
Gatekeeper: จริงๆทีแรก ไปถ่ายสติกเกอร์อยู่ก่อน ไปทำ photome แต่แปปเดียวเอง แล้วก็มาทำสติ๊กเกอร์แบบ Outdoor ใช้กล้องดิจิตอลมาตลอดอยู่ถึงเดี๋ยวนี้
pinkarrow แล้วพี่เกตเรียนการถ่ายรูปมาโดยตรงเลยหรือเปล่า
Gatekeeper: ไม่ได้เรียน เรียนเป็นช่าง Electronic Com สายเทนนิค
pinkarrow แล้วทำไมถึงได้เริ่มมาสนใจคอสเพลย์ แล้วจึงได้มาถ่ายรูปคอสเพลย์

Gate keeper: ก็ตอนสมัยนั้นอ่าน C-Kidz แล้วก็เห็นว่ามีงานตึกช้าง หลายปีแล้วละ แล้วเราก็เห็นอะ มีคนแต่ง Vincent Valentine ออกมาแต่ว่ารูปมันลงใน C-Kids มันเล็กมาก เราก็เลยลากกล้องดิจิตอลที่เราไว้ใช้ถ่ายสติกเกอร์นั่นแหละไปถ่าย

pinkarrow แล้วครั้งแรกที่เห็นคอสเพลย์แล้วรู้สึกอย่างไร แปลกตา แปลกใจ?

Gatekeeper:ต้องเรียกว่าตื่นตาตื่นใจ แปลกตา..เนี่ย ไม่แปลกตาเท่าไร เพราะกะกะไว้แหละว่าน่าจะประมาณนึง แต่ที่ตื่นตาตื่นใจเพราะเราไม่คิดว่า อย่างตัวที่เรารู้จักจะมีคนคอสมา อย่างคนคอสเป็นรีนัวร์มา เป็นเซฟิรอธมา มีคนคอสมาเป็นตัวที่เราไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนกล้าคอสมาอย่าง Nemesis จาก Resident Evil ยังงี้ หรืออาสึกะจาก Eva ก็การ์ตูนช่วงนั้นละครับ อีวา  ไฟนอล 7 ไฟนอล 8 พาราไซท์ อีฟ เกม

pinkarrow: จากตอนนั้นมาตอนนี้ผ่านมากี่ปีแล้วครับ

Gatekeeper: อุ้ย …ถ้านับเนี่ย น่าจะถึง 10 ปีนะ น่าจะถึง
pinkarrow แล้วตั้งแต่ถ่ายรูปคอสเพลย์มา มีไหมที่ประทับใจเป็นพิเศษสักครั้งไหม

Gatekeeper: ประทับใจเป็นพิเศษ…นี่จริงๆมันก็ประทับใจหลายงานนะ แต่ถ้าแบบว่าพีคสุดๆ น่าจะเป็น Private Cos ครั้งหนึ่งอะฮะ แบบประทับใจมาก แบบตอนนั้นทุกๆคนตั้งใจมาก แล้วคนเยอะมาก มาเป็น 10 คน แล้วเราเป็นตากล้อง..ต้องเรียกคนกล้องดีกว่า คือเราเป็นคนกล้องแค่ 1 ใน 3 คนเอง แล้วทุกคนตั้งใจคอสมาก ใส่คาแรกเตอร์ไม่ยอมถอด คือคอสแล้วเพลย์ เพลย์ไม่ยอมหยุดตั้งแต่เช้าจนเย็นเลย
pinkarrow ตอนนั้น Private Cos อะไรครับ

Gatekeeper: Gundam Seed

Q: อ๋อ

Gate keeper: Gundam Seed แถวเมืองทองธานี คือเปลี่ยนโลกทรรศ์เราไปมากเลย เป็นผลกระทบต่อชีวิตการถ่ายคอสเพลย์มากๆเลย คือ เค้าตั้งใจมา เราก็ต้องตั้งใจเต็มที่ แล้วทำให้เรารู้สึกว่า คำว่าตั้งใจเต็มที่ของเรา มันยังไม่ได้ครึ่งนึงของเค้าที่เค้าเต็มที่มา

Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

pinkarrow อย่างตากล้องหลายคนที่ถ่ายรูปคอสเพลย์ก็ใช้นิยามตนเองว่า ตากล้องคอสเพลย์ สำหรับพี่เกต คิดว่าอะไรคือ คุณสมบัติหรืออะไรที่ระบุว่า นี่แหละตากล้องคอสเพลย์

Gatekeeper: จริงๆคำว่าตากล้องคอสเพลย์กับพี่นี่ออกจะอยู่…จริงๆเราไม่เคยเรียกตัวเราเองว่าตากล้องคอสเพลย์ด้วยซ้ำเลยนะ  พี่จะใช้คำว่าคนกล้อง คนกล้องก็คือคนคุมกล้อง

ตากล้องคอสเพลย์เนี่ยข้อแรกเลยคือ ต้องเข้าใจคอสเพลย์ ถามว่าเข้าใจระดับไหน ไม่ต้องมากอย่างน้อยให้รู้ว่าคอสเพลย์คืออะไร ต้องรู้โจทย์ เพราะเวลาจะถ่ายรูปอะไรต้องมีโจทย์อยู่ในใจ อย่างคอสเพลย์เนี่ยมันมีโจทย์อยู่แล้วอย่างคอสเพลย์เรื่องอะไร ก็จะเกิดโจทย์ต่อเนื่อง คุณเข้าใจว่าคอสเพลย์คืออะไร เค้าคอสอะไรมา คุณดูการ์ตูนเรื่องนั้นมาไหม ไม่ได้ดู ไม่เป็นไร ทำการบ้านเอาได้

มันมาจากหัวใจของเค้าด้วยคือ ต้องเข้าใจโจทย์ว่านี่คือคอสเพลย์นะ ไม่ใช่การถ่ายรูปสินค้า ถ่ายรูปนางแบบ มันไม่ใช่

ถ่ายคอสเพลย์มันก็เป็นแค่อีกแขนงนึงของการถ่าย Portrait การถ่ายบุคคล แต่มันมีเรื่องสถานที่ มีมุมภาพมาประกอบ มีโจทย์มาแล้วมาว่าเนี่ย มุมภาพแบบนี้ ท่าแบบนี้ ก็ทำให้มันเหมือน หรือถ้าไม่เหมือนจะครีเอทใหม่ ก็ครีเอทให้มันอยู่ในเรื่องในราวนั้น คือ สามารถถ่ายภาพให้สอดคล้องกับการคอสเพลย์ได้ เท่านั้นเอง

pinkarrow อย่างตัวพี่เกตก็จะมีเอกลักษณ์ที่หลายๆคนจดจำอย่าง การถ่ายรูปที่มีท่าทางประกอบ หรือ อย่างพูด 1-2-3-พร้อม คือมีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษไหม

Gatekeeper: มันมีคำถามในใจตัวเอง แล้วก็มีคนอื่นถามเหมือนกันเวลาเราทำงานลักษณะนี้คือ ทำไมเราต้องเหมือนคนอื่น นั่นคือข้อแรก ข้อสองคือเรื่องการสื่อสาร ข้อสามคือเรื่องของความรวดเร็ว ความสะดวก ไม่ใช่หมายความว่าจะชุ่ยนะ คือเราออกตัวแล้วว่าเราเป็นคนกล้องนะ ไม่ใช่ตากล้องทรวดเร็วในการสื่อสารคือหนึ่ง คุณนับเสียงดังฟังชัด คือไม่ใช่แบบ เอานะครับ เท่านี้ครับ เท่านี้ครับ แล้วก็ไม่เอาสักที การประสานงาน การสื่อสารกับคอสเพลย์ที่เค้าอยู่กลางวงเนี่ยมันยากมาก แล้วบางที่ถ่ายไปรเวทคอสเนี่ยที่มันกว้างใหม่ ก็ติดนิสัยนับดังมาจากนั้น

เรื่องความเร็ว คืออย่างที่ยกตัวอย่าง Private Cosplay Gundam Seed ที่ผมพูดถึงเมื่อกี้ มันถ่ายกลางแดด มันต้องเร็ว เพราะฉะนั้น จับกล้องยังไงก็ได้ ขอให้คุมกล้องให้อยู่ ไม่จำเป็นต้องจับกล้องตามที่เค้าออกแบบมา กลับหัวก็ได้ เพราะยังไงมันก็เป็นภาพดิจิคอล คือทำยังไงก็ได้ขอให้มันเร็วที่สุด

เพราะฉะนั้นเอกลักษณ์ คอนเสปของการถ่ายภาพเราคือ 1.สื่อสารชัดเจน 2.เร็ว … เลยกลายเป็นอย่างนั้น นับดัง ถ่ายเร็ว 123ซัดเลย 123ซัดเลย บางทีซัดเอาดื้อๆไม่นับเลยก็มี เร็วเข้าไว้ทแล้วท่าทางในเมื่อมือเรามี 2 มือ เราก็ถือให้ได้ 2 กล้อง มันก็ต้องไขว้เอา หลังๆนี่ปราณีตขึ้น ก็ไขว้มาที่หัวไหล่ลึกขึ้นละจากที่เมื่อก่อนไว้ที่ข้อศอก เพื่อให้ภาพมันนิ่งขึ้น คือเราไขว้เพื่อให้กล้องมันนิ่งขึ้นนั่นเอง

pinkarrow แล้วอีกอย่างหนึ่งที่หลายคนก็เห็นคือ บันได พี่เกตอีกก็เป็นคนแรกที่แบกบันได ซึ่งก็กลายมาเป็นแรงบันดาลใจที่หลายคนแบกบ้าง ทำไมจึงคิดขึ้นมาตอนนั้น

Gatekeeper: (หัวเราะ) มีการเสวนา กับครูกล้องท่านหนึ่ง ก็คือ มันผสมกับโจทย์ในใจของเราว่าทำไมต้องเหมือน ก็คือทุกคนยืนอยู่ ยืนถ่ายรูปกัน รูปที่ได้ก็จะอยู่ในระดับเดียวกัน ถ้าลงพื้นรูปมันก็จะเสย ทะยานขึ้น ถ้าขึ้นข้างบนละ

ก็คือ เราเห็นช่างภาพ ช่างภาพนะไม่ใช่ตากล้อง ช่างภาพข่าวหรือว่านักข่าวที่ถ่ายเชิง journalism เนี่ยเค้าถ่ายให้มันได้บรรยากาศเนี่ย เค้าถ่ายขึ้นไปถ่ายจากที่สูงกัน แล้วเราก็จำได้ว่าที่ผ่านๆมาเราก็พยายามปีนขึ้นที่สุดอยู่ตลอด แล้วมุมภาพที่ได้มันแตกต่างและแก้ปัญหาเรื่องการบังของคอสเพลย์เยอร์ด้วยเพราะคอสเพลย์นี่มันไม่ใช่ว่าเป็นคนปกติ ไม่ใช่แปลว่าเพี้ยนนะครับ หมายความว่าคนนึงก็ใส่เกราะ ตัวใหญ่ ถือดาบ มีปีกอะไรแบบนี้ คือทุกคนยืนบังกันในระดับสายตาหมด ถ้าเราขึ้นที่สุดนี่จบเลย แล้วการขึ้นที่สูงเนี่ยทำให้มุมภาพเรามันไม่เหมือนทั่วๆไป ทำให้เห็นกว้างไกลขึ้น

นั่นคือข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง เมื่อโจทย์คอสเพลย์ มีบางโจทย์ที่มุมกล้องมันมาจากข้างบน เราก็ต้องขึ้นข้างบน ในเมื่อเราไปในสถานที่ที่มันไม่มีที่ให้ขึ้นข้างบน เราก็เลยต้องแบกบันไดมา เท่านั้นเองครับ ง่ายๆ

pinkarrow แล้วในการถ่ายคอส มีอะไรที่แบบเรายังไม่ค่อยพอใจไหม

Gatekeeper: มีนะ คือ ต้องเข้าใจก่อนนะว่าคนที่คอสเนี่ย บางทีเค้าก็ตั้งใจคอสมามาก แต่เราไม่สามารถตอบสนองโจทย์ที่เค้าตั้งมาในการตั้งใจคอสของเค้าแล้วเรื่องเพลย์อีกทีนึง คืออย่างบางคนที่เค้าเพลย์เนี่ย คือเรายังไม่สามารถถ่ายเพลย์ได้ คือเค้าเพลย์เป็นตัวนั้น แต่เราถ่ายออกมาไม่เป็นตัวนั้น โอเค ชุดสมบูรณ์แบบ ออปชั่นทำมาดี มีดาบ มีนั่น มีนี่ มีคฑา สวยงาม บางคนติดไฟมาด้วยยังงี้ เวลาเค้าเพลย์ตัวละครสีหน้าออกมา ปรากฎว่าเราถ่ายออกมาไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ตัวเองไม่ถูกใจที่สุดในการถ่ายรูปคอสเพลย์

คือเราตอบสนองได้ไม่ดี หรือบางทีต้องยอมรับว่าบางทีเราก็มีหลายเรื่องต้องทำ ทั้งหน้าที่ในชีวิต สิ่งที่ต้องรับผิดชอบในชีวิตตนเอง บางทีเราเจองานสุมเข้ามาบ้างจนเราไม่สามารถทำการบ้านได้ บางทีเรื่องง่ายๆอย่าง Reborn ยังงี้ กว่าจะตามทัน เราก็ดีเลย์ไปแล้ว 3 เดือนกว่าเราจะตามทัน แล้วทันแบบไม่ได้อ่านด้วย

ทั้งที่ท่าทางก็น่าจะสนุก แต่เราไม่มีเวลาแม้แต่ทำการบ้านเลย คอสเพลย์ต้องปรินท์ลง A4 แล้วเอามาให้ดูแบบ เนี่ย มุมประมาณนี้นะ แต่เราไม่รู้เรื่อง ก็ขัดใจตัวเอง แบบเราไม่มีเวลาทำการบ้าน ไม่มีเวลาที่จะตอบสนองโจทย์ที่คอสเพลย์เยอร์เค้าวางใจให้เราไปถ่าย มันก็เฟลนิดนึง มีโกรธด้วยบางที เห็นงานแล้วรู้สึกแบบไม่ได้เรื่อง ซึ่งก็พยายามแก้ไข เช่น โหลดอนิเมมาดูบ้าง โอเคบางเรื่องมันมาจากการคุมกล้องของเราเอง คือ ร่างกายเราไม่ดี เรานอนดึกไปนะ เรากินอาหารไม่ถูกต้อง เราดื่มโค๊ก ทานกาแฟ เราก็หยุด ไก่เกยเราก็หยุด อันนี้เราแก้ไขได้ แต่อะไรที่เราแก้ไขไม่ได้มันก็ยังขัดใจ

pinkarrow นอกจากสถานะตากล้องแล้ว พี่เกตยังมีสถานะอื่นๆอะไรอีกไหม เช่น คนทำอุปกรณ์เสริม?

Gatekeeper: ก็คงจะเป็นคนกล้องละเป็นหลักละ สองก็…คือเป็น เป็นคนทำ Props ได้ไหม ก็ได้ละ ก็มี Props ในมือบ้าง แม้จะไม่ค่อยได้เรื่องหรอก เพราะ Props เราจะออกเชิงเทคนิค เพราะเรียนเชิงเทคนิคมาอย่าง ปีก Saikano ไม้พายของ Aria ชาวบ้านเค้าจะเอาอย่างโฟมอะไรมาทำ แต่เราเล่นไปเอาไม้พายจริงมากลึงกันเลย ใช้วิธีทางช่างทำขึ้นมา ก็เรียกว่าเป็นคนทำ Props ก็ได้ คือตอบโจทย์ถูกแล้วนิ คือ จะ 1+1+1+1 เท่ากับ 4 หรือ 3+1 เท่ากับ 4 ก็ออกมาเหมือนกัน ก็ถือว่าใช้ได้

Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

อีกบทบาทหนึ่งก็จะเรียกว่าเป็น Manager หรือ Organizer ได้ไหม เพราะหลายครั้งเนี่ย อย่างคอสเพลย์เนี่ย คอสก็คอสนะ แต่ไม่รู้จะไปเพลย์ที่ไหน ของแบบนี้มันต้องมีกาละเทศะ อย่างเราคงไม่ไปคอสเพลย์ไปถ่ายรูปในวัดพระแก้วแน่ๆ เพราะฉะนั้น เราในฐานะที่เราขับรถ เราไปนั่นไปนี่ เราก็จะดูสถานที่ ทำการบ้านตลอด  เวลาน้องจะคอสมาถามแบบ ที่ไหนดีพี่ บางทีแบบเนื่องเรื่องมันต้องถ่ายเมือง จะไปถ่ายตามสวนสาธารณะแนวสิ้นคิดมันก็ไม่ไหว ยกเว้นแต่แบบมันไม่ไหวจริงๆ น้องเค้าไม่ไหวมันก็ว่ากันไป ก็คือมันต้องมีการจัดการบริหารตรงนี้ ขับรถพาไป แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

บทบาทสุดท้ายก็เป็นพี้เลี้ยง เพราะว่าหลังๆนี้ คอสเพลย์เยอร์มีเยอะมากแล้วเราต้องเป็นพี้เลี้ยงทั้งกลุ่ม บางทีเวลาเค้าคอส พวกโทรศัพท์ มือถือ กระเป๋าสตางค์ มันก็เฮตะโลมาอยู่ที่เรา เพราะเราเป็นคนกล้อง เราไม่ต้องไปกระโดดโลดเต้นอะไรมากมาย เราก็มีกระเป๋าติดตัวอยู่ละ ก็จะมาฝากของไว้ อา ปวดหัวเค้าก็จะมากินยาที่เรา เดิมที่จากที่เราไม่ได้พกอะไรมากมาย เดี๋ยวนี้กลายเป็นเปิดกระเป๋ามา มีตลับแป้ง มีกระจก มีหวี หลายๆรายการที่มันไม่น่ามีในกระเป๋าผู้ชาย ยิ่งหน้าโจรๆอย่างนี้ (หัวเราะ) คงมีเท่านี้ละครับ

pinkarrow อุปกรณ์หลักๆในการถ่ายคอสเพลย์ของพี่เกตมีอะไรบ้าง

Gatekeeper: ถ้าเอาตามปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ตอบแบบตรงๆแบบน่าเกลียดที่สุดคือ มีแต่ memory card เดี๋ยวนี้เราพก memory card เข้างาน เพราะว่าเดี๋ยวนี้เด็กคอสเพลย์ เค้าจะมีกล้องเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว จะมานั่งให้เราถ่ายๆๆๆแล้วมานั่งอัพลงเน็ท แล้วก็ให้เค้ามาตามโหลดอีกที หรือบางทีเราก็โปรเสจรูปเอง มันเสียเวลา และบางทีพูดตรงๆ ไม่ถูกใจเค้า บางทีแบบว่า เอ้ยสีจัดไป เอ้ยมันไม่ชัด เอ้ยมันแบบ..ไปย่อรูปทำไมอยากได้รูปเต็มๆจะเอาไปอัด จะเอาไปทำอย่างอื่น จะเอาไปเขียนบล๊อกเขียนอะไรเพราะว่ามัน มันไม่ใช่เว็บบอร์ดเหมือนเมื่อก่อนแล้วไงฮะเดี๋ยวนี้

บางคนเค้าทำ Multiply เป็นส่วนตัวของตัวเองอย่างเงี๊ยะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ง่าย..ง่ายที่สุดก็คือพก Memory Card มาเลย จบ กล้องถือของตัวเองแต่ก่อนมีครับ กล้องเราตัวเล็กมากเลย ก็ใช้ถ่ายมาตลอด ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ ถ้าเด็กคอสแบบไม่มีกล้องก็ใช้กล้องเราถ่าย ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้พก Memory Card ตัวเดียวเดินเข้างาน โอเคอาจจะถือบันไดไปก็ได้(หัวเราะ) นะฮะ แต่ว่าเราพก Memory Card ตัวเดียวเดินเข้างาน ถ่ายๆๆๆๆๆๆๆ ถ่ายจากกล้องเค้าเลยครับ

เสร็จแล้ว ภาพมันมาจากกล้องเค้า ก็ปรับไว้ไงก็ว่ากันอย่างนั้น และที่เหลือก็โยน โยนกลับไปให้เค้าได้ทันที จบเลย…

บางทีเดินตัวเปล่าเข้างานก็มีครับ เพราะว่า..เรามาทำหน้าที่ของเราก็คือ เป็นคนกล้อง ก็คือคนคนควบคุมกล้องให้เค้า เราไม่ต้องเอากล้องเรามา เนี่ยครับ เราถึงต้องบอกว่าเราคือคนกล้อง เราไม่ใช่ตากล้อง เพราะอุปกรณ์ถ่ายรูปของตัวเอง แทบจะไม่มีเลย

pinkarrow สงสัยต้องคิดชื่อบทสัมพาษย์ ว่าเป็นคนกล้องสุดแนวซะแล้ว

Gatekeeper: คงไม่แนวอ่ะ คือเหตุการณ์มันพาไปเอง สถานการณ์มันเปลี่ยนไป แต่ก่อนถ่ายรูปในงานแล้วลงบอร์ด เดี๋ยวนี้ไม่ใช่.. เค้าจะเอาไปทำอย่างอื่น บางคนถึงขั้นทำ Photo Book กัน เราก็แค่ปรับเปลี่ยนให้มันถูกสถานการณ์ แต่ก่อนรถเมล์ รถสามล้อเครื่อง หรือรถสามล้อถีบมันก็พอสำหรับการเดินทาง เดี๋ยวนี้เค้าก็เปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า แต่ของเดิมๆมันก็มีอยู่ เห็นมั๊ยครับ สามล้อถีบอย่างหาได้แถวเมืองนนท์ รถเมล์ยังวิ่งกันอยู่เกลื่อนถนน แต่รถไฟฟ้าก็ไม่ใช่ไม่มีคนใช้เหมือนกัน แต่มันก็แค่เปลี่ยน..เปลี่ยนแนวของเราไปเรื่อยๆ.

pinkarrow แล้วอย่างเดี๋ยวนี้เนี่ย ระหว่างงาน Event กับ Private Cos’ เนี่ย พี่เกตจะชอบแบบไหนมากกว่า และรูปสึกถึงความแตกต่างยังไงบ้าง?

Gatekeeper: คือต้องบอกก่อนนะครับว่า ในฐานะเป็นคนคุมกล้องเนี่ย ถ้าเอาเรื่องถ่ายภาพเนี่ย ทุกคนคงฟันธงหมดว่าเป็น Private แน่นอนพี่จะเป็นอีกคนนึงที่จะฟันธงว่างาน Private จะดีกว่า ถ้างานEventเนี่ย จะมีข้อเสียคือ ไม่สามารถ Control อะไรได้ Control ไม่ได้เลย แม้กระทั่งคนคอสเอง ก็ Control ไม่ได้เหมือนกัน ทั้งๆที่จริงๆแล้วเนี่ย งานคอสเพลย์ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นงานคอสเพลย์ งานเป็นของคนคอสเพลย์ เค้ามีสิทธิ์ด้วยซ้ำไปว่าไม่เอาคนนี้ ไม่เอาตรงนี้ ฉันไม่ทำท่านี้ ฉันจะทำท่านี้ อะไรแบบเนี้ย

แต่มัน Control อะไรไม่ได้ เค้าถึงว่าในงานคอสเพลย์เนี่ยเค้าต้องไปถ่าย Private กันแต่ก็ไม่ใช่ Private จะดีทุกอย่าง สถานที่ก็ไม่ใช่จะได้ดั่งใจทุกที่พอคุณ หูย อยากถ่าย เอ่อเข้าไปในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งนะฮะ ฉลุยมากเลยถ่ายแล้วเหมือนอยู่แถว อิท๊าลี่(อิตาลี)แต่ว่ามันก็ไม่ได้ไงฮะ มันก็ไม่ใช่จะสะดวกโยธินทุกอย่าง ที่มันอันตรายอย่างตึกร้างอย่างเงี๊ยถ้าไปต่ำกว่าห้าไม่มีผู้ชายไปเนี่ย อย่าดีกว่า อย่างเงี้ยมันไม่ใช่ง่ายแต่มันก็ ยังไงซะก็ยังชอบที่จะไพรเวท แล้วยิ่งหลังๆเนี่ยเราออก ออกต่างจังหวัดไปที่เชียงใหม่เงี้ย สถานที่เริ่มมี แล้วก็ที่เชียงใหม่เนี่ยผมกล้าพูดเลยนะว่าถือเป็นเมืองหลวงของศิลปะ แห่งนึงของประเทศไทยก็ได้อาจจะไม่ใช่กรุงเทพหรอกนะ เมืองที่เป็นแนวเค้าเรียกว่าศิลปวัฒนธรรม และไม่ใช่วัฒนธรรมดั่งเดิมด้วย วัฒนธรรมใหม่เค้าก็ยอมรับ อย่างเราเข้าไปไพรเวทคอสที่ มช อย่างเงี้ยครับ คือก็มีเด็กมหาลัยเดินเข้ามา   พี่นี่ใช่คอสเพลย์ไหม  อะไรอย่างเงี้ย นี่ใช่คอสเพลย์ไม๊ นี่คอสเรื่องอะไรคือเค้าเปิดรับ ในขณะที่ถ่ายในกรุงเทพเนี่ย แม้กระทั่งเป็นสยามนะฮะกลางเมืองเนี่ยคนก็ยังมองกันมองอย่างประหลาดๆ มองอย่างแปลกแยก ไม่มองเป็นการว่าสงสัยว่าเราทำอะไรแต่ ฟันธงไปเลยว่าพวกนี้แปลก ลักษณะมันก็เป็นอย่างนั้น

แต่มาฟันธงว่างานอีเวนท์ห่วย ไม่ไปๆ ไม่ต้องคอสไป ไม่ใช่ การคอสเพลย์ในงานอีเวนท์เนี่ย มันจะเป็นการเค้าเรียกว่ามีตติ้ง มันไม่ใช่โฟโต้จ๊อบที่จะไปเน้นถ่ายรูปอยู่ในอีเวนท์มันก็ไม่ถูก ทุกอย่างต้องมีความเป็นกลาง โอเคเราคอสมาเค้าเรียกว่าลองชุด ลองคอส ลองลงพรอบดู เพราะว่างานอีเวนท์มันโหดมากคุณแต่ตัวแล้วคุณแบกพรอบแล้วคุณไม่มีทางปลดได้จนกว่าจะเสร็จอีเวนท์นั้น ซึ่งอันเนี้ยใครที่คอสมารู้ดี คุณแต่งหน้าแล้ว แต่ไพรเวทบางที  เฮ้ย เหนื่อยๆๆกินข้าวพอๆเลิก  อย่างงี้ได้แต่อีเวนท์ไม่ได้เห็นเพื่อนวิ่งมาบางที อยากจะทักแต่โดนตากล้องรุมอยู่ ไปไม่ได้ บางทีเราปวดหัว น้องบางคนอ่ะแบบว่า วันนี้ชั้นไม่ค่อยสบายตัว นั้นก็ยังจะต้องทำ เพราะว่าโอเคสิ่งนึงที่คานให้เค้าทำได้ มันเรื่องความรักความชอบของเค้า

แต่ความสะดวกไม่มี สนุกตรงไหน สนุกที่ได้เจอคนนั้น คนนี้ เออเป็น งานมีตติ้งเป็นที่ที่แบบประชุมอ่ะ ปาร์ตี้ดีกว่าเรียกใช้ปาร์ตี้จะสนุกกว่า เออมันมีความสนุกแต่ต่างกัน ก็เหมือนคนที่ว่าไก่ย่างอร่อยคนเค้าบอกว่าไก่ทอดสิอร่อยแต่บางคนบอก ไม่ว่าทอดหรือย่างก็ไม่อร่อย มันต้องกินปลาสดถึงจะอร่อย มันก็นานาจิตตัง แค่ความเหมาะสมหรือความพอดีเท่านั้นเองครับ ผมว่าผู้จัดจะทำอะไรคุณอยากถ่ายรูปแบบซีเรียสไหมถ่ายรูปซีเรียสคุณไปไพรเวทแน่นอน เราเป็นคนกล้องเราอยากถ่ายรูป ก็ต้องไพรเวท อ่ะโอเคไปงานเราก็ถ่ายให้ได้ แต่ก็ซีเรียสไม๊ก็ซีเรียสได้ ไม่ใช่ซีเรียสขนาดที่เรียกว่า ต้องไล่ทุกคนที่ขวางเราออกไป ไม่ใช่ แหมมันงานปาร์ตี้อ่ะเพราะคนทุกคนก็ยืนอยู่บนพื้นที่เดียวกันก็แบ่งๆกันไป อันไหนขวางก็รอเค้าหน่อย อันไหนเราไปขวางเค้าก็พยายามรู้ตัวให้ทันแล้วหลบ เพราะว่าก็แบ่งๆกันไปมันก็บรรยากาศงานก็จะดีเพราะเรามาปาร์ตี้มันก็มาเพื่อเจอคนก็สนุกกันไป ก็เท่านี้เองล่ะครับ

Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

pinkarrow แล้วพี่เกตไม่คิดจะลองคอสเองบ้างหรอครับ

Gatekeeper: จริงๆมีตัวที่อยากคอสนะแต่ไม่บอก จริงๆมีตัวที่อยากคอสมีคนรู้มีคนแทง ยังไงดี มีคนพูดแทงใจไปทีนึงแล้ว แล้วแบบโดนด้วยเลยตัวนี้อะไรอย่างเนี้ยแต่มันไม่มีคนเล่นด้วย เพราะตัวที่เราอยากคอส หนึ่งมันมาจาก เอ่อผลผลิตของคนไทยเราเองมันมาจากหนังนะฮะ จริงๆตัวที่เราคอสแบบพีคสุดๆเป็นไม่ได้แน่นอนเพราะเป็นตัวผู้หญิงตัวแบบว่าโคตรจะสวยอะ ขณะที่เราเป็นโจรมันไม่ได้อยู่แล้ว นะฮะก็คือเราชอบเราอยากเป็นตัวนี้มาก บุคลิกเราก็เป็นแบบนั้นด้วยลักษณะเหมือนกันมาก เหมือนตัวที่อยากคอสรองลงมาลงจากหนังไทยอ่ะ คือหลายคนบอกว่า หลายคนที่ไปดูหนังเรื่องเนี้ย  คือคิดถึงพี่เกตมากเลยตอน  คือทุกคน แล้วก็มีคนนึงพูดว่า ทำไมพี่เกตไม่คอส    กูก็อยากคอสต้องใช้คำหยาบแบบ กูก็อยากคอส แต่ไม่มีใครเล่นด้วย

pinkarrow เรื่องอะไรหว่า  เชือดก่อนชิม?

Gatekeeper: หู้ย เป็นหนังเก่าแล้วครับแหม เป็นหนังเก่ามากแล้วอย่าไปพูดถึงมันเลย เรา แต่ว่าถ้าวันไหนได้ลงก็คงได้เห็น วันไหนลงก็คงได้เห็นเพราะว่าเราเป็นมนุษย์ไม่มีบล็อกไม่มี Multi บอร์ดสถิตก็มีแต่ก็ไม่ใช่ว่ามีบทบาทอะไรมากมาย อยู่เป็นสต๊าฟแต่ก็ไม่ได้แปะรูปเยอะแยะ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะว่ารูปไปถึงมือคอสเพลย์เยอร์หมดแล้ว แต่ว่าถ้าเรารับรองได้ว่า เราไม่มีบล็อกไม่มี Multiply คนที่มาถ่ายเรามันจะกระจายรูปแน่ๆอ่ะแน่ๆอยู่แล้วมันต้องเป็นเรื่องแน่นอนอะ

คล้ายๆกับว่า เอ่อเหมือนกับคุณลุงคนเนี่ยเคยขับรถอยู่ทุกวัน วันดีคืนดีคุณลุงคนเนี้ยอยู่ดีๆใส่เสื้อลายดอกไปงานเลี้ยงรุ่นเนี่ย โอ้โห รูปคุณลุงคนเนี้ยทั้งๆที่ไม่มีบทบาทในรุ่นนั้นเลยก็จะระเบิดตู้มออกไปอะไรอย่างเนี้ย ก็ถ้าลงก็ได้เห็นละครับสรุปง่ายๆ

Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

pinkarrow อย่างคำถามที่ผ่านๆมาก็จะเป็นเรื่องของตากล้องกับคอสเพลย์เยอร์ซะส่วนใหญ์ แล้วปฎิสัมพันธ์ระหว่างตากล้องกับตากล้องละ มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนอะไรกันไหม มีสังคมอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า

Gatekeeper: อืม จริงๆแล้ว เราก็ว่างตัวเป็นคนกล้องอะนะ แล้วเราเห็นหลายคนมือแข็งมากเราก็ไม่ค่อยกล้าไปยุ่งกับเค้าเท่าไร แต่โอเคเราไปพูดคุยเรื่องอุปกรณ์ก็มีบ้าง การปฎิสัมพันธ์กับคนกล้องคนอื่นมันก็มี มีการคุยเพื่อเชคมุมว่าเราจะอะไรยังไงตรงไหนดี โดยเฉพาะการถ่าย Private ซึ่งหลังๆเราถ่ายบ่อยมาก เราได้เจอตากล้องบ่อยขึ้น คือเดิมที่เจอในงานเนี่ย ไหล่ชนไหล่กันเลยก็มี เอากล้องมาทับกันเลยก็มีแต่ไม่ได้คุยกันเพราะวินาทีนั้นมันจะมัวแต่คุยกันแล้วให้คอสเพลย์เยอร์เค้ายืนคอสเมื่อยอยู่มันก็ไม่ถูก พอไป Private ก็เริ่มมีปฎิสัมพันธ์กับตากล้องหลายๆท่านเหมือนกัน หลายๆคนก็ถือว่าอยู่ในระดับครูกล้องเลยเค้าแบบว่าเค้ายื่นมือเข้ามาในคอสเพลย์นิดนึง แค่แหย่เข้ามา

ผมว่ามันเหมือนคนถือดาบนะ ตากล้องหรือคนกล้องก็แล้วแต่ ก็คือถ้าดาบไปฟันกันไว้ดีๆ แต่ถ้าพลาดไปฟันคนก็เหมือนไปทำร้ายคนอื่น การได้เจอคนกล้องด้วยกันแล้วได้ร่วมงานด้วยกัน ได้ไปรเวทด้วยกัน ก็เหมือนการประดาบกัน คือไม่ได้ฟาดกันให้ตาย แต่ก็อยากจะเรียนรู้ซึ่งเพลงดาบซึ่งกันและกัน บางคนเน้นหนักแน่น บางคนเน้นเร็ว พริ้ว บางคนเน้นปราณีต ฉับเดียวตาย มันก็ทำให้ฝีมือเราพัฒนาขึ้น

โดยเฉพาะทางเชียงใหม่ ซึ่งเราไปเปิดหูเปิดตาเนี่ย มันมีอะไรแปลกใหม่มากขึ้น คงไม่สนใจเลยว่ากล้องเค้าถ่ายได้ไม่ได้ เค้าแคต่คิดอย่างเดียวว่าเค้าจะถ่าย คือเค้าเป็นอิสระทางความคิด ในขณะที่เราบางทียังแบบ “เอ มันถ่ายไม่ได้น้า” มันเป็นอิสระกว่า

pinkarrow มีตากล้องคอสเพลย์คนไหนที่พี่เกตชื่นชมเป็นพิเศษไหมครับ

Gatekeeper: มีนะ ถ้าเอาใกล้ตัวที่สุดก็คงเป็นคุณ Wallsky คือคุณวอลล่าตั้งแต่สมัยก่อนละตั้งแต่สมัยไปรเวทคอสแรกๆเลย เค้าเป็นคนแปลกมากเลย  ไม่ได้แปลกตรงที่เค้าหลับตาถ่ายรูปอย่างที่หลายคนให้ฉายานะครับ (หัวเราะ) แต่ว่า ไม่ว่าเค้าอยู่ตรงไหน เช่นอยู่หลังเราเนี่ย ทั้งๆที่เราไม่ได้อยู่ในเฟรมเค้า ไม่ได้ขวางเค้า แต่พอเค้ายกกล้องขึ้นเล็ง เรารู้สึกได้ว่าเนี่ยเค้าอยู่ข้างหลัง เนี่ยเค้าอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนี้ แล้วเราหันไปนะเราเจอ เนี่ยคือคนที่แผ่รังสีกล้องให้เรารู้สึกคนแรกของชีวิตเลยคือ Wallsky

นอกนั้นก็มีคุณ Neon ซึ่งตอนนี้ติดธุระการงานเยอะ จริงๆนีออนเป็นคนสอนเรื่องกาละเทศะและเวลาในการถ่าย ว่าควรจะถ่ายกี่โมง มุมแสงอยู่ที่ไหน ความสวยคืออะไร นี่คือคนที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้มากที่สุดคนนึง

แล้วมีอีก 2 ท่านที่..มีท่านนึงที่หายไปแล้ว คือคุณ Masa ..มาซาแต่ก่อนใช้กล้องฟิลม์ แล้วเค้าถ่ายได้นิ่งมาก เค้าฝึกตัวเองตลอด ซึ่งกว่าที่เราจะรู้ว่าเค้าฝึกตัวเองตลอดเนี่ย สายไปแล้ว คือเค้าหายไปแล้ว เค้าเลิกถ่ายภาพหรือเค้ายังไงไปแล้วก็ไม่ทราบคือตอนนี้หาไม่เจอ เพราะว่าสังเกตเห็นว่าเค้ามีการถ่วงข้อมือ มีการออกกำลังกาย เป็นแรงบันดาลใจให้เราดูแลร่างกายนะ

อีกคนนึงก็คือคุณ Lag คุณ Lag นี่ยังอยู่นะ เป็นคนที่ถ่ายได้เนียนมาก คือเวลาเค้าถ่ายเค้าเป็นคนสุขุมนะฮะ เวลาเค้าถ่ายก็อยู่นิ่งๆของเค้าถ่าย ซึ่งแบบถ้า Lag ยกมุมเนี่ยไปเล็งด้านหลังได้เลยครับ สวยแน่ คือคนอื่นก็ถ่ายมุมเค้าทำไมออกมาไม่สวยไม่รู้ แต่เค้าออกมาสวย อุปกรณ์ก็ไม่ได้มีส่วนอะไรเลยก็ประทับใจ 4 ท่านนี่แหละครับ

pinkarrow แล้วคนคอสเพลย์ละครับ มีคนไหนไหมที่เราถ่ายรูปแล้วรู้สึกประทับใจ

Gatekeeper:อื้อหือ ..มีนะ มี แต่บางทีหลายคนอาจจะไม่รู้จัก ก็เรียกน้องว่าคงได้ ก็คือ เค้าไม่ได้คอสลงงานอะไรมากมาย ก็ไม่ใช่ Idol มาจากไหน เป็นคนที่ตั้งใจคอส ใช้คำว่าดิ้นรนที่จะคอส คือหน้าตาก็ไม่ได้ขนาดว่าเดินไปไหนคนหลืบ คือรักที่จะคอสนะ มีเวลาว่างก็จะทำตรงเนี่ย จะคอส แล้วคอสทีก็เรียกเรา เออพี่มาถ่ายให้หน่อย ก็ไม่ไปงานถ่ายแต่ไปรเวท ไม่ได้อยากจะรู้จักใคร แค่อยากจะทำตาม Sensation คือความสะใจของเค้า คือได้ทำละ

อีกคนที่อ้างชื่อได้ ก็คือน้องเมย์ที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีอีกเยอะแยะ ส่วนใหญ่ที่ประทับใจคือความตั้งใจในการคอส ไม่ได้เน้นอะไรไปที่ว่าหน้าตาดีเสมอไป

pinkarrow แล้วพี่เกตคิดว่าจะได้ถ่ายคอสเพลย์ไปอีกนานแค่ไหนครับ

Gatekeeper: เป็นคำถามที่ดี หลายคนบอกว่า เมื่อไรที่คุณเลิกคอสเพลย์เมื่อไร คุณเลิกถ่ายภาพเมื่อไร แปลว่าคุณโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว บางคนใช้คำว่าเลิกไร้สาระ ซึ่งผมว่าไม่เกี่ยว บางคนก็ชอบที่จะตีกอล์ฟ ลงทุนซื้อไม้กอล์ฟแพงๆ ซึ่งจริงๆคุณไปตีเทนนิส เล่นอย่างอื่นก็ได้ แต่ฉันอยากจะเล่นกอล์ฟอะ ค่าสมาชิกบางสนามเป็นแสน แล้วไงละ คอสเพลย์ก็เหมือนกันครับ จะถ่ายถึงเมื่อไรก็ถ่ายจนกว่าเราจะตันจริงๆ ก็คือเราถ่ายคอสเพลย์ออกมาไม่เป็นคอสเพลย์ เราทำไม่ได้ละ หรือไม่มีคนคอสให้เราถ่าย นั้นก็คือวันที่จบกัน ร่างกายเราไม่ไหว ตาเรามองไม่เห็นละ หรือสถานการณ์เปลี่ยนไป ภาพถ่ายคอสไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

ก็เหมือนคนที่ต้องการขายแผ่นเสียง ในเมื่อแผ่นไม่เป็นที่ต้องการแล้วมันก็จบ

ก็อยากจะฝากบอกคนที่ตั้งใจถ่ายภาพเหมือนกันว่า ถ้าคุณตั้งใจจะถ่ายภาพคอสเพลย์ก็ต้องทำใจนิดนึงว่าอะไรๆก็ไม่จีรังยั่งยืน ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า Blog จะเข้ามาถล่มจนทำเอาเวปบอร์ดเล็กๆเนี่ยล้มหายตายจากไปจำนวนมาก เห็นไหมครับว่า 4-5 ปีมันก็เปลี่ยนไป

ถ้าคุณถ่ายแล้วคุณสนุก แล้วมีคอสเพลย์เพลย์ให้ถ่าย ก็ถ่ายต่อไป ถ้าไม่มีก็คือไม่มี อย่าให้ถึงขนาดที่ว่า ไม่ได้ถ่ายคอสเพลย์แล้วเราแบบตาย ไม่ใช่ ฝีมือจากการถ่ายภาพคอสเพลย์ของคุณเนี่ยเมื่อถึงเวลาคุณก็เอาไปทำมาหากินก็ได้ ไม่แน่ต่อไป คอสเพลย์อาจจะเป็นธุรกิจเต็มร้อยก็ได้ แต่ก็เป็นไปได้เท่ากับ คอสเพลย์จบ ไม่มีละ การละเล่นคอสเพลย์ไม่มีอีกต่อไป

pinkarrow สุดท้ายแล้วอยากให้ทางเราสัมภาษณ์ใครเป็นพิเศษ

Gatekeeper: จริงๆอยากให้สัมภาษณ์ใครก็ได้ ที่แบบเป็นเด็กไทยที่ไปคอสเพลย์ที่ญี่ปุ่น แล้วกลับมาเล่าประสบการณ์กัน เค้าเป็นต้นฉบับ เป็นเมืองหลวง กลับมาแล้วมาเล่าให้ฟัง ตากล้องที่นั่นเป็นยังไง ดุเดือดขนาดไหน

มันเป็นนครเมกกะของผมนะ อยากจะไปถ่าย สักครั้งนึงในชีวิต ขอให้มีคอสเพลย์เยอร์ที่ตั้งใจคอสจริงๆ ไม่จำเป็นว่าต้องรู้จักใครเป็นพิเศษ

Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

…………………………

เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้

ได้เห็นมุมมองของคนกล้องที่คอยอยู่หลังเลนส์ก็หวังว่าจะทำให้ได้รู้ถึงมุมมองจากอีกมุมหนึ่งนะครับ
ก็สามารถ Comment แนะนำ ติชม ได้เต็มที่นะครับ

Special Thank

– Yoshitaga ที่ช่วยในการเรียบเรียง
www.geocities.com/thaicosplay สำหรับรูปประกอบ



Comment Here


เลือกช่องทางในการคอมเมนต์ด้านล่าง

  • Facebook(0)
  • WordPress(5)
  • Google Plus()

5 thoughts on “Interview with Cosplay Camera: Gatekeeper

  1. อ่านจนตาลายเลยครับ ยาวเหยียดดี

    วิธีถ่ายภาพคอสเพลย์นี่มีเยอะดีนะครับ @@ ไอ้กระพ้มมันก็ถ่ายเร็วฉับๆๆ อย่างเดียว

    ก็แหม กลัวบังคนข้างหลังอ่ะสิ – -a

  2. ชอบการตอบคำถามของคุณคนกล้องจังค่ะ
    เหมือนได้ทราบถึงมุมมองที่ต่างออกไป
    เราก็ชอบถ่ายรูปบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่้เข้าใจเรื่องโจทย์หรือแสงหรือมุม ยังไม่สนใจมากพอด้วยมั้ง
    อ่านบทความนี้แล้วอยากจะฮึดมาศึกษาบ้างเลยแหะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.