Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

การประกวดคอสเพลย์เวทีระดับนานาชาติ World Cosplay Summit 2019 ของปีนี้ได้จบลงไปแล้วนะคะ มีทีมจากประเทศต่าง ๆ ถึง 40 ประเทศเข้าร่วมชิงชัย ซึ่งในปีนี้ทีมตัวแทนไทยก็ได้เข้าร่วมด้วย โดยการแข่งขันปีนี้ต้องถือว่าเข้มข้นจริง ๆ โดยทีมไทยก็สามารถฝ่าเข้าไปแข่งในรอบสุดท้ายหรือรอบ 24 ทีมสุดท้ายได้ค่ะ เพื่อน ๆ สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่เลยนะคะ โดยวันนี้เลยจะขอนำบทสัมภาษณ์สองตัวแทนประเทศไทยคุณ Madara Naito (ไนท์) และ PaPiPu (ชมพู่) มาฝากกันค่ะ

"Interview

ก็จะมาพูดคุยกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นการฟอร์มทีม การลงประกวดรอบคัดเลือกรอบภูมิภาคและรอบค้นหาตัวแทนประเทศไทยในงาน Cosplay Gran Prix 2019 x World Cosplay Summit 2019 จนไปถึงเรื่องราว ประสบการณ์การประกวด ณ ประเทศญี่ปุ่นกันนะคะ

ก่อนอื่น เรามาถามความรู้จักกับทั้งคู่สักเล็กน้อยนะคะ

สำหรับ Madara Naito นั้นถือเป็นคอสเพลย์เยอร์ที่ผ่านการประกวดคอสเพลย์มาหลากหลายเวทีมากค่ะ และสามารถคว้ารางวัลจากการประกวดต่างๆได้อย่างมากมาย เช่น งาน Thailand Game Show 2017, Asia Comic Con และอีกหลากหลายงาน เรียกได้ว่า เป็นคอสเพลย์เยอร์ที่มีประสบการณ์การประกวดคอสเพลย์อย่างมากทีเดียว

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

สำหรับ PaPiPu นั้น โดยหลักแล้วจะเป็นสมาชิกของวง Cover Dance วง Kira Taiyaki ค่ะ โดยประสบการณ์คอสเพลย์นั้นก็ถือว่าค่อย ๆ พัฒนา และได้รับประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ กับกิจกรรมคอสเพลย์ค่ะ

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019
Photo Cr.| PaPiPu & Kira Taiyaki

หวังว่าบทสัมภาษณ์นี้จะเป็นเรื่องราวที่ดีสำหรับเพื่อน ๆ คอสเพลย์ที่สนใจอยากร่วมประกวดในปีถัด ๆ ไปนะคะ

 

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

 

01 | อยากให้ทั้งสองแนะนำตัวกับผู้อ่านหน่อยนะคะ

PaPiPu| ค่า เอาชื่อจริงก่อนนะคะ ชื่อ จุฑามาศ สุขเกษม นะคะ ชื่อเล่นชื่อชมพู่ค่ะ ส่วนเนมคอสที่ใช้ตอนไปงาน World Cosplay Summit คือ PaPiPu ค่ะ

Madara Naito| ชื่อไนท์ครับ แต่ว่าชื่อในวงการจะใช้เป็นชื่อนักเขียนอะครับ Madara Naito ครับ

 

02 | คุณ Madara Naito ก็ประกวดคอสเพลย์มาหลายเวทีแล้ว ทำไมในที่สุดถึงได้สนใจมาลงประกวด World Cosplay Summit 2019 คะ?

Madara Naito| อ้า .. ถ้าพูดกันตามตรง มันเป็นช่วงที่ผมก็ว่างอยู่ช่วงนึง แล้วก็คิดว่าไปลงประกวดเอาค่าขนมดีกว่า เราคิดแค่นั้นจริง ๆ เราไม่ได้หวังจะได้แชมป์หรือต้องไปญี่ปุ่นขนาดนั้น เพราะว่าไนท์ไม่ได้คิดว่าศักยภาพตัวเองตอนนี้ เอาตรงนี้ไปแข่งแล้วมันจะได้รางวัล เพราะเราเป็นคนที่ ถ้าเราไปเราก็อยากจะคว้าตรงนั้นกลับมาเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศมากกว่า เราคิดแบบนั้น เราไม่ได้หวังว่าจะไปเที่ยวฟรี ไปกินฟรี ไปอะไรอย่างนั้น เราไม่เคยมีความคิดพวกนี้อยู่ในหัวเรามาก่อน

ที่นี้พอผลมันออกมาแบบนั้นแล้วเราคุยกับคณะกรรมการ คือคุยกับคนที่เลือกเราไป ด้วยเหตุผลบางประการที่มันมีสิ่งที่นอกเหนือจากผลคะแนนนะครับ คือมันไม่ได้จบที่ตรงนั้น มันมีเรื่องของดีเบต เรื่องของเหตุผล เรื่องของจิปาถะขึ้นมาแล้วเค้าเจาะจงเลือกเราไปตรงนั้นด้วยส่วนนึง

ทั้ง ๆ ที่เราอาจจะไม่ได้ดีที่สุดในเรื่องของคอสตูมหรือว่าการแสดง เรื่องอะไรพวกนั้น แต่ว่ามันมีบางอย่างที่เค้าก็บอกเรา และเราก็รู้สึกว่า เอ้อ .. เราปฎิเสธเค้าไม่ได้ แต่ว่าเราคิดว่าเราดู WCS แข่งมาหลาย ๆ ปีล่ะ เราก็อยากจะเป็นคนที่อยู่ใน 1 ใน 3 รางวัลตรงนั้น แต่ว่าการที่ไปปีนี้เป็นอะไรที่เราไม่ได้คาดหวังแต่ก็ต้องไป อันนั้นเป็นส่วนของไนท์ ที่ไนท์รู้สึกว่าจุดเริ่มต้นมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่พอเราไปมาแล้วไนท์คิดว่า ถ้ามีโอกาสที่ตัวเองพัฒนาฝีมือมาแล้วจากตรงนั้น ถ้ามีโอกาสได้กลับไปอีกก็อยากจะกลับไปแข่งขันให้มันเต็มที่กว่าที่ตัวเองทำครั้งนี้นะครับ

Cosplus| ในเมื่อคุณไนท์เองก็ผ่านมาหลายเวทีเหมือนกัน คิดว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยในการไป WCS หรือช่วยในเรื่องการเตรียมตัวในการประกวดไหมคะ?

Madara Naito| มันช่วยด้านความเร็วครับ ด้วยความที่เราทำงานเกี่ยวกับพร็อพส่งให้ลูกค้าอยู่แล้ว เรื่องของระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตของเรามากพออยู่แล้ว ก็เลยทำให้เราวางตารางได้ จัดการได้ สามารถเย็บผ้าได้ ทำเกราะได้ เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเราเล้ว

แต่ว่า มันก็ค่อนข้างที่จะโหดอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเราก็โดนสั่งให้แก้ชุด แก้อุปกรณ์ในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์ เพราะว่าอีก 3 สัปดาห์เราก็บินแล้ว เราก็พยายามเร่งสุด ๆ กับความรู้ ความสามารถ แล้วก็สิ่งที่ทางผู้ใหญ่เค้าแนะนำมา เราก็เอาตรงนั้นไปปรับถึงที่สุดแล้ว ก็เหมือนเป็นบททดสอบที่ทำให้เราทะลุขีดจำกัดของเราไปอีกขั้นนึง

เพราะว่าการประกวดในบ้านเรานี่ โอเค เราลงหลายเวทีแล้วก็จริง แต่ว่ามันก็เป็นแพทเทิร์นที่สำหรับคนลงบ่อย ๆ อะครับ 20 ครั้ง 30 ครั้ง มันเห็นจนตายตัวอยู่แล้ว บางทีมันก็เลยพอเดาทางได้ อาจจะมีแค่บางเวทีที่รู้สึกว่าพลิกล็อค ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่เราก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เดายากอะไรเท่า WCS อะไรแบบนั้น ก็เลย .. เหมือนแบบว่า การแข่งที่ประเทศนี้เรายังอยู่กับสิ่งเดิม ๆ แค่เราเปลี่ยนชุดใหม่ไปเรื่อย เปลี่ยนชุดใหม่ไปเรื่อย ๆ คิดการแสดงใหม่ไปเรื่อย ๆ มันวนอยู่อย่างนี้นะครับ แต่พอไป WCS กลับมาเราได้เทคนิคต่าง ๆ นานาจากต่างประเทศเยอะมาก ก็คิดว่าถึงแม้ไม่ได้รางวัลไม่ได้อะไรแต่เราได้เทคนิคที่แบบว่า เฮ้ย! ของมันก็มีในประเทศไทยเราแต่มันไม่มีใครเอามาใช้ ทั้งที่มันใช้ได้ เราไปเห็นตรงนั้นมาเราได้เรียนรู้ตรงนั้นมาแล้วรู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นความรู้ที่มีค่าสำหรับเรานะ

ซึ่งทำให้ถ้าเราไปแข่งอีก ณ เวทีนึงที่ไทยตอนนี้ เรารู้สึกว่าเราทำได้ดีกว่าที่เราผ่าน ๆ มาแน่นอนจากที่ลงมาหลาย ๆ เวทีแล้วนั่นคือสิ่งที่ไนท์ได้มา

 

03 | คุณ PaPiPu เองก็มีทั้งวง Cover Dance ของตัวเอง เคยผ่านเวทีประกวดคอสเพลย์และได้รางวัลมา ทำไมคุณ PaPiPu ถึงได้สนใจคอสเพลย์คะ? และคิดว่าเรามีประสบการณ์มาแค่ไหน ก่อนที่จะมาลง World Cosplay Summit 2019?

PaPiPu| ก่อนที่จะมาลง World Cosplay Summit 2019  ต้องบอกเลยว่าประสบการณ์ของการขึ้นเวทีประกวดคอสเพลย์ ถ้ารวมก่อนแข่งก็จะมีประมาณแค่ 2-3 ครั้งเองค่ะ ที่เคยขึ้นแข่งในไทยนะคะ (หัวเราะเขิน ๆ ) เพราะว่าด้วยความที่เราอยู่ทางสาย  Cover Dance คือปกติเราอยู่สายโคฟเวอร์ก็จริงแต่ว่าเราก็เหมือนแบบแอบสนใจทางคอสเพลย์อยู่ แต่ว่ายังไม่ได้มีเวลามาถึงตรงนั้นหรือแบบประกวดอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ

พอทีนี้ทางคุณไนท์เค้าชวนมา เหมือนว่ามาลองช่วยงานหรือทำประกวดอะไรดีไหมก็เลย เออ .. น่าสนใจดีค่ะ แล้วก็เลยลองมาประกวด ลองมาทำดูเพราะว่าส่วนหนึ่งก็เคยอยากลองทำพร็อพ อยากลองขึ้นแสดงอะไรแบบนี้ดู

แล้วก็พอมาถึงจุดว่าทำไมถึงไป WCS ได้ก็คือต้องบอกเลยว่ามีคนสอน ก็คือคุณไนท์เป็นคนสอนเกี่ยวกับพวกการแสดง การทำพร็อพ หรือมูฟเมนท์อะไรต่าง ๆ หรือสิ่งที่ต้องเตรียมตัวเวลาประกวดอะไรอย่างนี้ คือคุณไนท์จะเป็นคนคอยสอนคอยดูทุกอย่างให้หมดเลยค่ะ ประมาณนั้น

แล้วก็พอเขาคอยช่วยสอนอะไรเราก็เหมือน .. เอ้อ .. เข้าคู่ด้วยกันแล้วก็ไปแข่งด้วย ประมาณนี้ค่ะ

 

04 | แล้วทั้งสองคนรู้จักกันได้ยังไงคะ?

Madara Naito| จริง ๆ ก่อนที่จะมาทำเกี่ยวกับคอสเพลย์คือไนท์เขียนการ์ตูนเป็นอาชีพมาก่อน เขียนมังงะอะไรแบบนี้ ซึ่งวางแผนว่าจะต้องไปทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ทีนี้ก็คือจะต้องมีล่ามคนนึงแล้วก็คนแปลคนหนึ่ง ซึ่งเราขาดตรงนี้ คือพอดีน้องเค้าเรียนสายญี่ปุ่น เรียนทางภาษาพอดี ก็คุยก็วางเรื่องงานกับน้องเขาไว้ว่า เออ .. เดี๋ยวพอน้องเค้าเรียนจบปุ๊บ ก็จะทำงานที่ไทยส่งต้นฉบับไปทางโน้นเรื่อย ๆ จนอาจจะต้องไปใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่นู่น นั่นคือสิ่งที่ไนท์คิดเอาไว้

ไอ้การประกวดตรงนี้เราก็ชอบ แต่ว่ามันก็ต้องทำงานในพาร์ทที่มันเป็นงานจริง ๆ ของชีวิตอะไรอย่างนี้ ก็คือรู้จักกันในเรื่องนี้มากกว่า แต่ว่าด้วยความที่ว่าใช้ชีวิตอย่างนี้นะครับ ใช้ชีวิตเรื่องคอสเพลย์ด้วย เรื่องงานด้วย ก็คือรอเวลาให้น้องเค้าเรียนจบด้วย เราก็เลยหาอะไรทำดีกว่า ดีกว่าที่จะอยู่เฉย ๆ อะไรแบบนี้นะครับ

คือรู้จักกันเพราะทางนี้ก่อนแล้วด้วยความที่ว่าเราเคยมีทีม แต่ว่าลูกทีมเราตอนนี้ไม่มีแล้ว เราก็รู้สึกว่าบางทีการประกวดเราไม่สามารถที่จะครอบคลุมอะไรได้มากนัก รู้สึกว่าการที่มีใครสักคนช่วยงานเรา ช่วยเราประกวด ช่วยเราแข่งอย่างนี้ มันช่วย .. แบบอย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ คือเราไม่อยากอยู่เฉย ๆ ในสิ่งที่เรากำลังทำ บางทีเราก็อยากจะหยุดพักประกวดบ้างไปทำงานบ้างแต่ด้วยความที่ว่าน้องเค้าเรียน ผมก็อยากจะหาอะไรทำไปเรื่อย ๆ ดีกว่าต้องมาอยู่เฉย ๆ ก็เลยลงเรื่อย ๆ ถ้าลงได้ก็ลงอะไรแบบนั้นครับ

Cosplus| ก็คือคุณไนท์ชวนคุณพู่มาลงประกวดด้วยกัน อยากทราบว่าคุณไนท์เห็นอะไรในตัวคุณพู่คะ ถึงได้ชวนมาลง WCS ด้วยกัน?

Madara Naito| ใช่ครับ .. จริง ๆ น้องเค้าช่วยงานผมจากง่าย ๆ ก่อนเลย ก็คือไปช่วยถือโฟมยาง ไปแบกของอะไรแบบนี้นะครับ แล้วมันก็มีความเป็นเพื่อนกัน มีอะไรกันอยู่แล้ว แล้วก็เป็นเด็กที่ คุยง่าย ไม่ดื้อ ไม่อะไร คือสามารถที่จะคุยกันรู้เรื่องครับ เพราะว่าการหาคู่คอสเพลย์บางทีเราเจอคนนั้น เราเจอคนนี้ เราอาจจะอยู่กับเค้าได้ช่วงระยะเวลานึง ก็อาจจะมีผิดใจกันบ้าง เป็นปกติของคนเราในวงการอะไรอย่างนี้ แต่ว่าเราอยู่กับน้องเค้า เราก็ไม่ได้มีแค่เรื่องคอสเพลย์ เราก็คุยกันเรื่องงาน เรื่องชีวิต เรื่องสารทุกข์สุกดิบทั่วไป เรารู้สึกว่าโอเค เค้าอยู่กับเราได้ และเค้าก็ช่วยงานเราได้

ในเมื่อวันนึง เราไม่มีบุคคลากรที่จะไปทำอะไรแบบเป็นทีม เราก็รู้สึกว่าโอเค มันก็มีที่พึ่งกันอยู่ 2 คนนะครับ เราพึ่งเค้า เค้าพึ่งเรา ก็โอเค เราก็ดึงน้องเค้ามาหัด Performance ว่าควรขยับยังไง ควรตั้งท่าแบบไหน ควรมองกรรมการไหมช่วงไหน อะไรที่ต้องเล่นกับคนดู ช่วงไหนที่ต้องต่อสู่ เราก็สอนให้เค้าเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ราว ๆ ประมาณปีนึงจนมาถึง WCS แต่ว่าเค้าค่อนข้างที่จะทำการบ้าน สอนไม่ยาก พอให้บทเค้าไป พอเค้าจำแพทเทิร์นได้แล้ว เค้าก็จะใส่หูฟังกับตัวเค้าเอง เค้าก็เหมือนจะเติมอินเนอร์ของเค้าเข้าไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนถึงวันจริงเค้าก็จะทำของเค้าได้เลย โดยที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปเสี้ยมสอนอะไรขนาดนั้นครับ

Cosplus| แล้วคุณ PaPiPu ละคะ ทำไมคุณไนท์ชวนแล้วถึงตัดสินใจไปคอสด้วยกัน?

PaPiPu| อ้า .. ด้วยความที่เคยอยากให้มีคนมาชวนค่ะ ด้วยความที่เราทำในสาย Cover Dance เราก็อยากคอส อยากลองทำพร็อพดู แต่ว่าไม่มีใครชวน ไม่มีใครสอนค่ะ แล้วพอมีคนมาชวนแล้วเค้าสอนเป็น ทำเป็น เราก็เลยไปด้วยเลย (หัวเราะ) ไปด้วยเลยค่ะ ด้วยความที่เราอยู่ทาง Cover แล้วมันก็ไม่ค่อยมีเวลาไปทางสายคอสเลยค่ะ เลยอยากลอง … คือปกติก็เคยอยากคอสเพลย์อยู่แล้ว เราก็เลยไปทางเค้าด้วยเลย ก็คือเราก็อยากทำ อยากลองทำพร็อพอะไรเองด้วย คืออยากมีประสบการณ์ทางด้านนี้ด้วยค่ะ แล้วก็คิดว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ

 

05| พอตัดสินใจว่าจะมาลงด้วยกันแล้ว ทำไมถึงเลือกที่จะใช้การแสดงนี้คะ แล้วเรามีการเตรียมตัว มีการแบ่งหน้าที่กันยังไงในการทำงานคะ?

Madara Naito| ก็ .. เริ่มเอาจากอะไรที่เรารู้สึกว่าเราเข้าใจมันก่อน เลือกการ์ตูนที่เราเข้าใจ เข้าใจคาแรคเตอร์มันก่อน คือไนท์จะยึดตัวเองเป็นงานหลักก่อน เพราะเราเป็นคนที่ต้องทำชุด ทำพร็อพ ตัดซาวด์ ออกแบบการแสดงมาตลอด ไม่ว่าจะเข้าคู่กับใครก็ตาม แล้วก็ .. หน้าที่ของพาร์ทเนอร์อีกคน แค่คอยซัพพอร์ตเรา ช่วยเราถือของแล้วก็แสดงบนเวทีแค่นั้น ส่วนที่เหลือไนท์จะเป็นคนรับเอาไว้เอง เพราะเรารับในส่วนของพวกนี้ไหวอยู่แล้ว

ก็เลือกตัวละครที่เราชอบก่อน เราชอบ Mordred เป็นตัวละครที่เราอยากจะคอสให้ดีด้วย แต่เราไม่เคยได้คอสมันออกมาเลย ก็เลยเลือกตัวนี้ แล้วเราก็พยายามหาตัวละครที่จะเอามาสู้กันได้นะครับ ที่จะสู้กันได้แล้วก็มีโจทย์ว่าต้องเข้ากับตัวน้องเค้าด้วย ก็เลยนั่งดูซีรีย์ แล้วก็เราเลือก Jack the Ripper แล้วกัน

Cosplus| แล้วคุณ PaPiPu ได้ช่วยซัพพอร์ตคุณไนท์ยังไงบ้างคะ?

PaPiPu| ก็ถ้าในเรื่องช่วยซัพพอร์ตก็คือ เวลาทำงานหรือทำพร็อพอะไรก็จะคอยช่วยซัพพอร์ตเรื่อย ๆ

Madara Naito| แล้วก็เริ่มทำเอง

PaPiPu | ใช่ค่ะ แล้วพอเค้าสอนมากขึ้นก็เริ่มทำบางส่วนได้เอง ก็คือทำในส่วนของพร็อพด้วย อะไรด้วย ในส่วนของชุดก็คือเหมือนเข้าไปเสริม ช่วยในทุก ๆ อย่างค่ะ แล้วก็พวกซาวด์อะไรพวกนี้ก็คอยตัดซาวด์ฟังเสียง แล้วก็บางช่วงที่ต้องเปลี่ยนบทเป็นภาษาอังกฤษ ก็ช่วย ๆ กันคิดค่ะ พอทำงานด้วยกันระยะเวลานึงก็สามารถเข้าไปช่วยในส่วนต่าง ๆ ได้จนครบ แล้วก็ในส่วนของเสียงพากย์ก็พากย์เอง ในส่วนของ Jack the Ripper จะพากย์เองค่ะ (พูดเขิน ๆ )

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

 

06 | แล้วทั้งสองคนมี Skill อะไรที่เรารู้สึกว่า Skill นี้ของเราใช้ช่วยเหลือ ซัพพอร์ตอีกคนนึงได้คะ?

Madara Naito| ถ้าเรื่อง Skill คือถ้าเป็นเรื่องงานมันแบ่งได้เพราะว่ามีคนช่วย สมมุติว่าถ้าไนท์ต้องปาดกาวหรือต้องพ่นกาว ชิ้น ๆ นึงมันใช้เวลานานอยู่แล้ว แต่ถ้ามีคนนึงช่วยเรา เราสามารถที่จะโยนงานตัวนี้ให้เค้าได้เลย แล้วเราก็ไปทำอีกชิ้นนึง มันก็จะเร็วขึ้น 2-3 เท่า ตรงนี้คือเป็นเรื่องพื้นฐานที่มันช่วยกันอยู่แล้ว การเข้าคู่ไม่ว่าจะคู่ไหนก็ตาม ถ้าแบ่งงานกันได้ แล้วต่างคนอยากที่จะทำตรงนั้นอยู่แล้ว ยังไงมันก็ไปกันได้เรื่อย ๆ ครับ

Cosplus| ก็คือเราก็คอยซัพพอร์ตกันเองอยู่แล้ว?

Madara Naito| ใช่ แต่ว่า .. ถ้าพูดเลยคืออาจจะต้องมาจากเรื่องของความสนิทสนมก่อนดีกว่า ถ้าโอเค เราเข้าใจว่าอีกฝ่ายเหนื่อย เราก็จะไม่คิดว่าตัวเราเหนื่อย มันจะเหนื่อยไปด้วยกัน เพราะว่าตอนที่ไปญี่ปุ่นมันก็มีอิมแพคที่แย่ กับอิมแพคที่ดี หลายเรื่องมาก พอถึงขั้นที่แบบทำเราเสียประสาทได้ ซึ่งบางทีก็ถึงขั้นที่ว่า .. ยังไงอะ .. ทำร้ายร่างกายพาร์ทเนอร์ตัวเองก็มีเหมือนกัน

ณ จุดเวลาหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะที่คู่เราก็เครียดเหมือนกัน จะเป็นช่วงก่อนแข่งรอบนาโกย่า ช่วงก่อนเข้ารอบ 16 ทีมอะครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ค่อนข้างเครียดหนักมาก เพราะว่าอย่างช่วงเช้าก็ต้อง ตื่นคือจะต้องตื่น 6 โมงครึ่งโดยเฉลี่ยของทุกวันนะครับ เพื่อไปแต่งหน้าทำผม เพื่อไปตรวจชุด จะมีวันที่ต้องไปตรวจชุดก็คือต้องแต่งเต็มให้เค้าตรวจชุดนะครับ ไปพรีเซนต์ คือต้องตื่นเช้ามากแล้วบางทีมคือตรวจชุดแบบ 10 โมง เค้าก็ต้องตื่นมาตี 5 เพื่อแต่งตัวไปตรวจ แล้วก็พอตรวจเสร็จก็ต้องไปกรอกแบบฟอร์ม กว่าจะเสร็จคือมันปาเข้าไปครึ่งวันแล้วโดยที่เราก็อยู่ในโรงแรม อยู่ในโรงแรมแต่ก็ไม่มีเวลาอิสระ ก็จะแน่นอยู่ในนั้นเลยเพราะฉะนั้นการประคับประคองเพื่อนตัวเองมันไม่ใช่แค่ช่วยงาน

PaPiPu| ต้องเข้าใจ

Madara Naito| ต้องคอยดูสภาพร่างกายสภาพจิตใจเขาด้วยเพราะว่ามันก็มีทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ใช่แค่ทีมไทย มันมีหลายประเทศเหมือนกันที่เค้าถึงขั้นทะเลาะหรือลงไม้ลงมือกันเลย ในไทยแค่การช่วยงานกันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแต่การไปญี่ปุ่นไปแข่งอย่างนี้ คุณพร้อมแค่ชุดคอสเพลย์ พร้อมแค่การแสดงมันไม่ได้ คือต้องพร้อมที่จะประคองตัวเองกับเพื่อนตัวเองไปให้ได้

อันนี้มันจะหนักตรงนี้มาก ๆ เลย เพราะฉะนั้นถ้าใครคนหนึ่งรู้สึกแย่ รู้สึกงอน หรือรู้สึกแบบไม่โอเคอย่างนี้มันต้องมีใครสักคนที่ลดทิฐิตัวเองลงมาเพื่อประคับประคองเพื่อนตัวเองก่อน อันนี้เป็นเรื่องที่คนที่ยังไม่เคยได้ไปหรือว่าเป็นคู่ที่ไม่สนิทกัน อาจจะเจอเรื่องแบบนี้ก็ได้เพราะฉะนั้นต้องประคองกันทุกอย่างครับ ทั้งงาน ทั้งสภาพจิตใจ ต้องแบ่งกันทุกอย่างคนละครึ่งจริง ๆ

Cosplus| ก็คือทั้งสองคนซัพพอร์ตกันในแง่ของงาน และก็ในแง่ของจิตใจด้วย?

PaPiPu| ใช่ค่ะ เพราะว่าถ้าสมมุติคนนึงสูงขึ้นมา อีกคนจะต้องลดลงเพื่อให้แต่ละคนปรับสภาพจิตใจได้

Madara Naito| ต้องลดลง เพราะแค่ เราตื่นเช้าเพื่อแต่งหน้าไปคอสเพลย์ติดกันประมาณ 3-4 วัน มันก็หนักแล้ว ลองนึกสภาพคนที่ตื่นนอนเช้า ๆ มาก ๆ แล้วไปทำงานอย่างนี้เป็นใครก็หงุดหงิดจริง ๆ ครับ (เสียงกลั้นหัวเราะ) เพราะว่าบางทีเราก็ต้องออกจากโรงแรมช่วง 9 โมง อย่างเรามีบัตรอาหารเช้าที่เค้าแจกให้ก็จริงแต่เราไม่มีเวลาจะไปกิน คือมันเป็นอะไรที่ทรมานตัวเองมาก แบบถึงแม้เราอยากจะกินแต่ร่างกายเรามันไม่รับก็มี

Cosplus| เพราะเราเพลีย?

Madara Naito| ใช่ เพราะเราเพลีย แล้วอาหาร ก็คือต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่เจออาหารประเภทญี่ปุ่นนะครับ (หัวเราะ) เป็นของดิบ ของสด มันไม่คาวก็จริงแต่ว่าโดยธรรมชาติของคนที่ไม่ได้กินของพวกนี้หรือคนไทยมันจะขย้อนออกมา ก็จะเจอแบบนี้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นการเอ็นจอยสำหรับทริปเนี่ยมีอยู่แต่ว่ามันต้องปรับ ถ้าเอาแค่แบบคืนแรกเลย ไปถึงโรงแรมนอนปุ๊บคือตี 5 ต้องตื่นมาด้วยความมึนงงเพราะว่ามันสว่าง สว่างเหมือนประมาณ 10 โมงเช้าทั้ง ๆ ที่มันเป็นเวลาตี 5 เราแบบยืนงงอยู่ว่าเช้าแล้วเหรอ มีอาการ Jet Lag กันอยู่ประมาณ 3-4 วันได้ตอนอยู่โตเกียว เพราะแสงตะวันมันขึ้นลงไม่เท่าที่ประเทศไทย เราก็จะเจอเรื่องพวกนี้เหมือนกัน เพราะงั้นมันทำให้เรา ทำให้คนหงุดหงิดกันทั้งสองฝ่ายอ่ะครับ หงุดหงิดกันไปแบบ คนนั้นก็หงุดหงิด เราก็หงุดหงิดอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปปะทะคารมกันเป็นดีที่สุดเพราะว่าบางทีมก็เกิดขึ้นแล้วเราก็เห็นกับตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้อง Support กันทุกอย่างจริง ๆ สำหรับคนที่ไปไม่ใช่แค่เรื่องงานนะครับสภาพจิตใจด้วยจริง ๆ (หัวเราะ)

 

07 | แล้วเราคาดหวังกับการแสดงของเราไว้แค่ไหนคะ?

Madara Naito| อา . . ตั้งไว้สูงสุด คือเราไม่อยากทำอะไรที่ขายขี้หน้าประเทศนะครับ เพราะว่ารู้ว่าเราต้องเจอคู่แข่งแบบไหนและบวกกับว่าเราถูกส่งไปทางสภาพที่แบบ เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่พร้อม เพราะงั้นความตั้งใจแรกของไนท์คือ โอเคเราจะไปยังไงให้อยู่ถึงรอบไฟนอล

เราอยากอยู่บนเวทีวันสุดท้ายในฐานะคนที่เข้ารอบอย่างน้อย เราก็ยังพูดได้ว่าเราอยู่ในครึ่งหนึ่งของส่วนที่ดีที่สุดใน WCS ปีนี้ดีกว่าไปตกรอบแรกหรืออะไรอย่างนี้ เรารู้สึกว่าเป็นตัวเราเอง เราก็รู้สึกอายนะ ถ้าต้องไปแล้วเจอสภาพนั้น เราก็เลยตั้งแค่ว่า โอเค เราไปเนี่ยเราทำหน้าที่เราให้เสร็จ คือไปให้ถึงรอบไฟนอลแล้วอยู่บนนั้นวันสุดท้ายเลยให้ได้

ถ้าเราทำตรงนั้นได้เราก็รู้สึกโอเค สิ่งที่เราตั้งไว้มัน Complete ละ ความตั้งใจเราแล้วเราทำตรงนั้นได้เราก็โล่งใจในวันที่แข่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว

PaPiPu| อย่างที่คิดไว้ก็คือ ความที่เราไปด้วยการเตรียมไม่ได้พร้อมขนาดนั้น เพราะว่าเรามีเวลาแก้ชุดจำกัดน่ะค่ะ ก็คิดว่าพอเราไปแล้วในฐานะที่แบบทางทีมงาน ทางกรรมการเค้าเลือกมาแล้ว เราก็ต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดคืออย่างน้อยอย่างที่พี่เค้าบอก คือเราก็ควรจะเข้ารอบไฟนอล ไม่ให้มันขายหน้า ขายขี้หน้าอะไรประมาณนี้ แล้วก็เราก็ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ให้ได้อ่ะค่ะ

08 | ในวันงานรอบคัดเลือกที่ประเทศไทย ได้เห็นผู้ประกวดทีมอื่นไหมคะ?

Madara Naito & PaPiPuเห็นอยู่ครับ/ค่ะ

Madara Naito| รู้จักกันหมด เชื่อว่ารู้จักกันหมด (หัวเราะ)

Cosplus| แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างคะ อย่างเช่น อู้หู ชุดอะไรขนาดนี้ หรือว่ารู้สึกยังไงบ้างคะ?

Madara Naito| อืม ยังไม่เท่าไหร่นะครับ  แต่ว่าเราดูเรื่อง Performance มาก ๆ

PaPiPu| ซะส่วนใหญ่

Madara Naito| Performance ซะส่วนใหญ่ เพราะว่าเรารู้อยู่แล้วว่ารุ่นพี่เราเค้าแบบเก่งแบบไหน แต่ละคนมีข้อดียังไง เราก็ไม่ได้มองว่าตัวเองด้อยกว่าเค้าหรืออะไร แต่ว่า ก็ยังพูดเหมือนกันว่าเราไปหวังได้สักที่ 2 ที่ 3 ก็ยังดี ได้ค่าขนมอะไรประมาณนั้น

PaPiPu| มันเป็นประสบการณ์

Madara Naito| คือ ไนท์อยากรู้กลไก WCS ด้วย เพราะไนท์ไม่เคยลงเลยตั้งแต่แข่งมา คนก็บอกไปลงเถอะ ไปลงเถอะ ไนท์ก็ปฏิเสธที่จะไม่ลง (หัวเราะ) เพราะรู้ว่าตัวเองไม่พร้อมรับตรงนั้น ก็คิดว่าโอเค ถ้ามีโอกาสลงอย่างปีนี้ลงไนท์ก็อยากดูระบบมันอยากรู้กลไกมันว่าเป็นอะไรยังไง แล้วปี 2020 ไนท์ก็จะกลับไปลงอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเมื่อเรารู้ระบบเราก็จะทำงานกับมันง่ายขึ้นน่ะครับไนท์รู้สึกแบบนั้น แต่อันนั้นคือความตั้งใจไนท์ที่ไปลง แต่พอผลมันออกมาแบบนั้นก็คือ เราก็ยืนเหวอ คือในขณะหนึ่งเราก็รู้สึกว่ามีทีมที่เค้าดีกว่าเรา พร้อมกว่าเรา แล้วก็แบบเราก็รู้จักเขาคือเป็นพี่เป็นน้องกัน

แต่ปีนี้น่าประทับใจตรงที่ว่าพอเค้าไม่ได้ไป คือเราก็รู้ว่าบางคนเค้าก็เฮิร์ท เค้าก็เสียใจ แต่ว่าอย่างรอบคัดเลือกที่พัทยาครับ อย่างทีมของพี่ปอ ทีมที่ได้ที่ 3 คือวันนั้นเราพลาดเยอะมากแล้วเราก็จะเก็บของกลับบ้านเลย กะว่าเราจะไม่อยู่เพราะว่าไม่น่าจะเข้ารอบแล้วล่ะ เราคิดแบบนั้นแต่พี่เขาก็ห้ามเราเอาไว้ เค้ารั้งเราเอาไว้บอกว่าให้อยู่ก่อน อยู่ก่อน เค้าบอกยังไงเราก็เข้า แต่เราไม่มั่นใจในตัวเองตอนนั้นเลย เรารู้สึกว่าเราทำเละหมดละ เรารู้ว่าเราเตรียมตัวน้อยมาก ๆ เราคิดว่าการเข้ารอบแบบเข้าไปรอบ 15 ทีมไม่ได้ยาก แต่พอถึงวันจริงเราทำพลาดแบบที่เราก็ไม่เคยพลาดมาก่อน บวกกับเราเหนื่อย เหนื่อยจากงานก่อนหน้านั้นมาก็เลยมาทำให้เราไม่มีกำลังใจแต่ว่าพี่เขาก็รั้งเราไว้บอกให้อยู่ก่อน

แล้วก็อย่างทีมที่ 2 ทีมของพี่น็อกก็ช่วย Support เค้ามาช่วยเราเรื่องสติ๊กเกอร์ แทททู เรื่องรอยสักนะครับ แล้วก็ทางทีมที่ Support พี่เค้าอีกที ทีมหมู่บ้านนะครับ Village Hope ก็ช่วยเรื่องของเสียงพากย์ ช่วยนั่นช่วยนี่ ก็คือได้รับความช่วยเหลือจากหลายทีมด้วย ไม่ใช่ว่าเราตะบี้ตะบันไปทีมเดียว เราก็รู้สึกว่ามันน่าประทับใจตรงนี้เพราะเราก็ไม่เคยได้รับความช่วยเหลืออะไรตรงนี้จากใครมาก่อน ปกติเราแข่งเสร็จก็กลับบ้านก็จบแค่นั้นนะครับ

แต่ว่าเรารู้สึกว่ามีคนที่เค้าสมควรได้ไปกว่าเราในปีนี้จริง ๆ เรารู้สึกแบบนั้นแต่เมื่อผลออกมาแบบนี้ เราก็ทำเต็มที่ เมื่อเราเข้าไปในห้องกรรมการเราก็พูดแบบนี้กับเขาว่าทำไม ทำไมต้องเป็นเรา คือไนท์เคยพูดกันเล่น ๆ ว่าถ้าชนะเนี่ยจะทำยังไง เพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่ได้อยากไป คือแบบจะสละสิทธิ์ไหม ไม่อยากไป (หัวเราะ) ยังไม่พร้อมจะไป ก็คิดถึงขั้นนั้นแล้วแต่เราไม่ได้อยากไปหลงตัวเองขนาดนั้น แบบพูดกันจริง ๆ เลยว่าถ้าได้ขึ้นมาเราจะสละสิทธิ์ พอเราแข่งเสร็จปุ๊บก็มีพี่บางคนเค้าก็เดินเข้ามาแบบ อยากไปญี่ปุ่นไหม แกน่าจะได้นะ ก็บอกมันไม่ได้หรอกอะไรแบบนี้ มันคือเหตุการณ์ที่เกิด ณ หลังเวทีวันนั้นแต่พอผลประกาศคือเราก็ไม่ได้ดีใจ คือ เรางงว่าทำไม เพราะว่าเราคิดว่ามีทีมที่เค้าดีกว่าเรา ที่เขาน่าจะได้ไป นั่นคือสิ่งที่เราคิดอยู่

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

Cosplus| แล้วจากในความคิดแรกที่มีวูบเข้ามาว่าอยากสละสิทธิ์ ทำไมในที่สุดเราถึงเลือกที่จะเดินหน้าต่อคะ?

Madara Naito| (สูดลมหายใจ) คือเราปฎิเสธไม่ทันเลยครับ (เสียงกลั้วหัวเราะ) คือเรา .. เรา ..

PaPiPu| คือทันทีที่เค้าบอกเหตุผลว่าทำไมทางเค้าถึงเลือกเรามา โดยที่เราก็ถามว่าทีมนู้นทีมนี้ดีกว่า ทำไมไม่เอาเค้าไป แต่ว่าเค้าแจงเหตุผล  ในสิ่งที่เราไม่สามารถไปเถียงเค้าได้เลย

Madara Naito| คือเราไม่สามารถไปเถียงเค้าได้เลย

PaPiPu| เค้าบอกว่า เค้าจงใจที่จะเลือกทีมเรามาแล้วค่ะ ถ้าสมมุติว่าเราเผลอปฎิเสธเค้าไป มันก็เหมือนผิดหวัง แล้วก็ทำให้ทีมอื่น ๆ เค้าอาจจะทำไมแบบไม่ยอมไป อะไรแบบนี้

Madara Naito| เรากลัวอย่างนึงว่า อาจจะมีการเข้าใจผิดว่าเราแบบ .. ได้ก็ได้แล้ว แล้วเราจะไปสละสิทธิ์ทำไม มันจะดูเหมือนไปหยาม

PaPiPu| เหมือนไปหยามน้ำใจ

Madara Naito| เหมือนไปหยามน้ำใจเค้า ไปหยามคนที่เค้าแข่งกับเรา ที่เค้าอยากจะไปแทบตายงี้ เราก็เลยรู้สึกว่า อ๊ะ! โอเค ไป .. ไปก็ไป ระหว่างช่วงที่กำลังรับป้าย รับรางวัล คือไนท์ชั่งใจมากเลยว่าจะทำยังไง เพราะว่าในความรู้สึกแว็บนั้นก็คือ ทั้งอยากจะร้องไห้ ทั้งอยากจะอยู่เฉย ๆ คือจะร้องก็ไม่ร้องนะครับ (หัวเราะ) คือสีหน้าก็ยังออกมาในรูปโปรโมทอยู่เลยทุกวันนี้ คือจะร้องหรือจะสละดี หรือจะดีใจดีไหม คือเป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่ง สองอย่างนี้ที่เราไม่สามารถจะตัดสินใจ ณ เวลาตรงนั้นได้ เพราะเรารู้ว่า ถ้ารับไปแล้วเราจะต้องเจออะไร เรารู้อยู่แก่ใจ แล้วเราก็เจอมันจริง ๆ

เราก็รู้ว่าเราไม่พร้อมที่จะรับตรงนั้น แต่พอเราเข้าไปคุยกับกรรมการแล้ว เราปฎิเสธเค้าไม่ได้ เราเถียงเค้าไม่ได้เลยครับ เราก็เลยโอเค .. รับ

PaPiPu| ก็เลยรับ .. ตามหน้าที่ ที่เค้ามอบหมายให้เราเป็นตัวแทนตรงนี้ ไม่ให้ผิดหวังกับการที่เค้าเลือกเราด้วยค่ะ

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

 

09 | จากวันคัดเลือกที่เรารู้สึกว่าพลาดไปเยอะ แล้ววันรอบชิงตัวแทนประเทศไทยละคะ หลังแสดงเสร็จเราพอใจกับผลงานแค่ไหน?

Madara Naito| มีส่วนพลาดเรื่อง Costume นิดเดียวครับ แต่ว่าเรื่องการแสดงรู้สึกว่าไม่พลาด ก็คือขึ้นไปและลงมาโดยที่ไม่ได้รู้สึกติดค้าง เราก็รู้สึกว่าโอเค เราทำตามที่เราต้องการ เราทำบาลานซ์ทุกอย่างของเราได้โอเคละ เราทำฉากออกมาสวย เราทำกลไกได้ อะไรได้ ก็จะมีพลาด ..

PaPiPu| มีนิดหน่อย

Madara Naito| ก็จะมีติดส่วนของไนท์ส่วนนึงของชมพู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเรารู้สึกว่า เอ้อ .. เราแก้สถานการณ์บนเวทีนั้น และเราก็ปล่อยให้เรื่องหลังจากนั้นมันเป็นเรื่องของการตัดสินไปแล้ว เรารู้สึกว่าเราลงมาแล้วเรา Happy .. วันนั้น เราก็เดินเล่นทั่วไป เดินคุยกับเค้า โดยที่เราไม่ได้มาจดจ่อกับการประกวดเลย เพราะว่าไนท์เคยคิด ความคิดที่มันดูแย่ก็คือ ถ้าเราเข้ารอบแล้ว เราไม่ไปแข่งก็ได้มั้ง เรารับเงิน 5 พันก็ได้อะไรอย่างงี้ แต่เราก็คิดอีกทีว่าเราต้องไป (หัวเราะ) ยังไงเราก็เข้ารอบแล้ว แข่งให้มันสมศักดิ์ศรีหน่อย เพราะเราก็ประกวดมาเยอะ เราไม่อยากให้ใครมาว่าเราแบบนั้นครับ เราก็เลยไป ไปเพื่อเก็บงานให้มันเสร็จนะครับ เพราะเราเข้ามาแล้ว เราก็ต้องไปอยู่ถึงวันสุดท้ายให้มันเสร็จ เราพยายามแยกแยะระหว่าง .. เอ่อ .. ความรู้สึกส่วนตัวกับ ..

PaPiPu| หน้าที่

Madara Naito| กับหน้าที่ที่เราต้องทำ เพราะว่าคนนอกวงการเค้าอาจจะดูเราเป็นแค่กลุ่มเด็กที่แต่งตัวการ์ตูนอะไรแบบนี้ แต่สำหรับสายตาคนที่เค้าทำตรงนี้ วงการตรงนี้จริง ๆ มันก็ดูไม่ดี เพราะงั้นเราก็รู้สึกว่าไปเก็บงานให้มันเสร็จแล้วกลับบ้านกัน แค่นั้นจริง ๆ

Cosplus| แล้วคุณ PaPiPu รู้สึกยังไงคะ เราพอใจผลงานเราไหม?

PaPiPu| ก็ค่อนข้างพอใจในผลงานค่ะ เหมือนแบบว่าตอนแรก ๆ เราก็ยังทำพวก step การแสดงหรืออะไรไม่เป็นเลย แล้วมันก็เหมือนค่อย ๆ เก็บแล้วก็พัฒนามาเรื่อย ๆ จากทีละรอบ ทีละรอบ มันก็ไม่เหมือนกันน่ะค่ะ ก็ถือว่าพอใจในผลงาน แล้วก็ทำเต็มหน้าที่สมบูรณ์แล้ว คือพยายามทำอะไรไม่ให้ผิดพลาดน่ะค่ะ แล้วก็แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าบนเวทีก็ทำได้เรียบร้อยแล้ว ก็คือทำให้แค่บรรลุเป้าหมายเฉย ๆ ก็ทำได้แล้วเรียบร้อย ก็ถือว่าพอใจค่ะ

 

10 | ก็มีเล่ามาบ้างแล้ว แต่อยากถามอีกทีว่า นาทีที่ทราบผลว่าได้เป็นตัวแทน รู้สึกยังไงกันบ้างคะ?

Madara Naito & PaPiPu| (หัวเราะ)

PaPiPu| (หัวเราะ) ก็ .. คือในที่คิดไว้อ่ะค่ะ คือคิดว่าเนี่ย! ทีมเนี่ย! จะต้องได้แน่นอนเลย แต่ว่าพอมันกลับหลุดโผ คือมันเหมือนสลับ ก็ยืนงงค่ะ แล้วก็คิด คิดอยู่สักพักหนึ่งว่าทีมไหนจะได้ต่อ คือ ไม่ได้คิดถึงว่าทีมตัวเองจะได้อะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็แบบว่าเคยถามกันว่าถ้าได้จะทำยังไง นี่ก็แบบก็ไม่รู้เหมือนกัน ค่อนข้างจะงงมากในเรื่องแบบว่า .. มันมีแบบนี้ประมาณสองรอบตั้งแต่รอบพัทยาแล้วก็มารอบสุดท้ายค่ะ

แบบก็ยืนงงทั้งสองคนว่าทำไมมันได้อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่ก็พอได้เข้าไปฟังกรรมการ ก็เหมือนได้รับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งมา (เสียงกลั้วหัวเราะ) ซึ่งด้วยความที่แทบจะไม่เคยลงประกวดคอสแบบว่าหลาย ๆ ที่หรือแบบว่าผ่านอะไรเลย แล้วก็อยู่ดี ๆ ต้องมาไปประกวดที่ญี่ปุ่นก็ค่อนข้างจะหนักหนาเหมือนกันสำหรับคนที่ไม่เคยประกวดคอสแบบผ่านมาหลายที่ เพราะว่าถ้ารวมกับการประกวดคอสที่เคยทำรวมกับของ WCS ด้วยอ่ะค่ะ แบบขึ้นเวทีก็ขึ้นได้ไม่เกิน 6-7 ครั้งเองค่ะ (หัวเราะเขิน) ค่อนข้างเป็นประสบการณ์ที่น้อยมาก ๆ

Cosplus| แล้วคุณไนท์ละคะ จริง ๆ เหมือนจะพูดมาบ้างแล้ว แต่เล่าให้ละเอียดขึ้นไปอีกก็ได้ค่ะ

Madara Naito| อย่างที่บอกเลยครับว่างง .. งงเลย .. คือตอนประกาศที่ 2 ไป เราคิดว่าที่ 2 อ่ะครับเค้าควรจะได้ที่ 1 เพราะแบบว่าชุดเค้าดี แอ็คชั่นเค้าดี กลไกเค้าก็มีเหมือนกัน คือ ทีมที่ 2 ก็ก่อนที่เราจะเริ่มได้รางวัลจากการประกวดคอสเพลย์ เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เก่งมาก่อนเราอยู่แล้ว เราชื่นชมเขา เราพยายามไล่ตามเขาอยู่แล้ว จนวันหนึ่งโอเคเราเริ่มทำแบบเค้าได้ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่เหนือไปกว่าใคร เรารู้สึกว่าเค้ามีคน เค้ามีทีม ผมรู้สึกว่าที่ 2 กับที่ 3 เค้ามีทีม

PaPiPu| มีทีม มีบุคคลากร

Madara Naito| มีทีม Support และมีบุคลากรที่ครบเครื่องมาก เค้ามีทรัพยากร มีจำนวนคนที่มากกว่าเรา ในขณะที่เรามีกันแค่ 2 คน (หัวเราะ)

PaPiPu| 2 คน

Madara Naito| ซึ่งเรารู้อยู่แก่ใจตรงนี้ว่าเราได้มาเนี่ยมันสาหัสสากรรจ์แน่นอน ในขณะที่ทีมอื่นอาจจะทำแบบทำไปนอนไปก็ยังได้ เค้าต้องทำได้ดีกว่าเราอยู่แล้วด้วยสิ่งที่เค้ามีกับสิ่งที่เรามีมันต่างกันมาก เพราะว่าตอนประกาศเนี่ย พอประกาศที่ 2 ไปปุ๊ปเราเริ่มงงละ เราพยายามไล่ เราไม่ได้คิดว่าเราจะได้

PaPiPu| เราพยายามไล่ดูทีมอื่น

Madara Naito| เราพยายามไล่ดูทีละทีมละ ใครมีสิทธิ์ที่จะได้บ้าง เราก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางคนอื่นเค้า ซึ่งน้องเค้าก็ถามแบบว่าถ้าได้จะทำยังไง  ผมก็ .. ไม่แน่ใจ แต่ในความรู้สึกในใจจริง ๆ คือคิดว่าแบบ .. ซวยแล้วมั้ย เริ่มรู้สึกตะหงิด ๆ เริ่มรู้สึกว่าน่าจะซวยแล้วละ (หัวเราะ) เป็นความรู้สึกว่าเรา …

PaPiPu| อาจจะต้องได้

Madara Naito| อาจจะต้องแบบ .. ต้องไปจริง ๆ …  มันเหมือนกับว่าเราหลุดไปในห้วงความคิดของเราแค่แว๊บนึง แต่เราไม่สามารถที่จะคิดอะไรได้ทันกับสถานการณ์นั้นจริง ๆ ถึงแม้ว่าเราเตรียมใจมาแล้วแต่พอถึงสถานการณ์จริง ๆ เราแบบ .. เราไม่สามารถจะทำเหมือนสิ่งที่เราคิดได้ เราต้องทำในสิ่งตรงนั้น เราก็ได้แต่เข้าไปถามกรรมการเพื่อย้ำความแน่ใจอีกทีนึงว่าจะเอาเราไปจริง ๆ เหรอ

เราก็ยังรู้สึกปฏิเสธตัวเองจน ณ ถึงเวลาที่ทำ จนถึงญี่ปุ่นเราก็ยังรู้สึกว่าเราก็ยังปฏิเสธตัวเราเองอยู่ว่าเรายังไม่สมควรที่จะมาอยู่ตรงนี้นะ ถึงแม้ว่าเราจะแก้ไข ที่เค้าติมาเนี่ยต่าง ๆ นานาไปเรียบร้อยแล้วจนมันดีขึ้นจนเรารู้สึกว่าเราส่องกระจกแล้วแบบ เฮ้ย ไอ้ชุดที่เราใส่เนี่ยมันมากกว่าสิ่งที่เราอยากจะทำด้วยซ้ำ ในแง่มุมหนึ่งเราก็รู้สึกว่าก็ดี ในอีกมุมหนึ่งเราก็รู้สึกว่าก็มีภาระหนุนหลังเราอยู่ ที่เราต้องแบกมันไปให้สุดทางตามที่เราหวังไว้ตรงนั้นน่ะครับ

 

11 | จากที่ทั้งสองคนไม่ทันคาดคิดว่าจะได้เป็นตัวแทน แต่ก็ได้รับเหตุผลต่าง ๆ จากกรรมการ ณ ตอนนี้ ความคิดเราตกผลึกขึ้นไหม คิดว่าอะไรที่ทำให้เราได้เป็นตัวแทน?

Madara Naito| เอ่อ .. มันมีเหตุผลที่ชัดเจนมาก ๆ พอเราไปถึงที่ญี่ปุ่นมันก็ชัดขึ้นกว่าเดิม ก็คือเรื่องของบาลานซ์นะครับ มันแล้วแต่ประเทศนะครับ แต่โดยส่วนใหญ่ครึ่งค่อนประเทศที่ถูกส่งไป ราว ๆ 20-30 ทีมจะถูกส่งไปด้วยมีบาลานซ์ที่ดี แล้วแต่ละทีมจะมี เหมือนมีท่าไม้ตายของตัวเองที่เค้าไว้พกติดตัวเค้าไปเป็นภาพจำของแต่ละทีม ที่นู่นคือมันต้องชัดขนาดที่ว่าเมื่อเราเล่นไป เค้าจะจำอันนี้เราได้เลย อันนั้นคือสิ่งหนึ่งที่กรรมการบอกมา และเค้าเลือกส่วนของบาลานซ์ไปตรงนี้

ในขณะที่เค้าก็บอกอยู่ว่าทีมนั้นทีมนี้ชุดสวยกว่านะ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเป็นตัวแทนให้มันสมศักดิ์ศรีเนี่ย เราก็ไปแก้ชุดซะ ถ้าเราแก้ชุดสวยได้จนให้เค้าพอใจเนี่ย ผมว่ามันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะรู้สึกว่าเราไม่สมควรได้รับตรงนั้น เพราะเรามีเวลาแก้ และเราก็แก้ เราทำตามที่เค้าบอกทุกอย่าง เราไม่ได้แบบว่า … กลับมาแล้วเราอยากจะทำเอง แต่คือเราทำตามที่เค้าบอก ทำตามที่รุ่นพี่เค้าบอก ที่เค้าแนะนำมาจริง ๆ แล้วเรารู้สึกว่า .. โอเค .. เราทำดีขึ้นละ

ถึงแม้ว่ารอบชิงมันอาจจะไม่ได้ดีเท่ารอบที่ญี่ปุ่น แต่ในเมื่อเราได้ตัวเวลาตรงนี้มา เราแก้มันให้ดี ให้มันสมควรกับที่เราได้รับมา เราก็ได้แก้ตรงนั้นแล้ว เราก็รู้สึกว่ามันโอเค เราก็สมควรได้รับมัน ถ้าเราแก้สำเร็จ เพราะถ้าในความรู้สึกไนท์ ถ้าไนท์ไปแล้วทำเสียเรื่องซะเอง ไม่ทำอะไรเลย ไม่แก้อะไรเลย ถึงแม้ไม่มีใครมาพูดให้เราได้ยิน ผมก็เชื่อว่าคนเค้าก็จะมีมุมมองอีกรูปแบบหนึ่งที่มองเรา เราไม่อยากให้ใครมองเราแบบนั้น ผมก็อยากให้คนเค้าจำผมในแบบที่ผมเป็นทุกวันนี้ เป็นคนขยัน เป็นคนพยายาม เป็นคนมุ่งมั่นกับคอสเพลย์ กับสายประกวดที่ผมทำ ผมก็อยากจะเป็นแบบนั้น เสมอต้นเสมอปลาย

เพราะฉะนั้น คือในเมื่อเค้าเลือกมา ผมไม่อยากจะทำ .. คือถึงแม้ไม่ได้รางวัล ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนผิดหวัง

Cosplus| ก็คือเราก็ไม่อยากให้ทุกคนผิดหวัง?

Madara Naito| ใช่ครับ ไม่อยากให้ทุกคนผิดหวัง เพราะเค้าก็ช่วยเรา .. ที่ 2 เค้าก็ช่วยเรา ที่ 3 เค้าก็ให้กำลังใจเรา เพราะงั้นผมรู้สึกว่า โอเค เราได้รับตรงนี้มา เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเองละ เราทำให้เค้าเห็น ถึงแม้ผมไป ผมไม่ได้อะไรกลับมา อาจจะเป็นบางอย่างที่ผมปูทางหรือเก็บเกี่ยวตรงนี้กลับมาแล้วหยิบยื่นคืนให้เค้า เพื่อที่ว่าปีหน้าเค้าลงอีก ผมพร้อมที่จะหยิบยื่นอะไรบางอย่างตรงนี้ให้เค้าไป เพื่อที่อย่างน้อยเค้าจะได้มีแต้มต่อหรือมีอะไรบางอย่างไปช่วยตรงนั้นที่ ๆ เค้ายังไม่เคยเจอ

เราไปเห็นบางอย่างมาแล้วที่มันไม่มีในตำรา ไม่มีในกติกา แล้วมันก็ไม่มีใครมาเขียนสกู๊ปบอกเล่าเรื่องราวพวกนี้อะครับ แล้วก็ตัวกติกา ตัวอะไรอย่างงี้มัน ปีนี้มันเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว มันเปลี่ยนไปจากปี 2018 โดยสิ้นเชิงไปเลย เราก็เลยรู้สึกว่าเราพร้อมที่จะหยิบยื่นอะไรตรงนี้ให้กับคนที่เค้าไปต่อ มันเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในอนาคต ในความคิดของไนท์อะครับ

Cosplus| แล้วคุณ PaPiPu มีความเห็นว่ายังไงบ้างคะ?

PaPiPu| ด้วยความที่ไปแล้วค่อนข้างที่จะได้รับประสบการณ์ แล้วก็เทคนิคต่าง ๆ อะไรเยอะ เรียกว่าเราก็ทำตามหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ถ้ากลับมาก็คงเหมือนคุณไนท์อ่ะค่ะ ด้วยความที่แต่ละปีไม่ค่อยมีใครบอกเรื่องราวในเรื่องของการประกวดตรงนี้ กฎอะไรเป็นยังไง หรือแบบ … ได้รับความรู้อะไรมา แลกเปลี่ยนอะไรมา ก็อยากจะแบบ .. แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือให้คำแนะนำในส่วนที่เราพอจะทำได้ ต่อให้เราเป็นคนที่ไม่ใช่สายประกวดมาก่อน มานาน หรือว่าไม่ได้มีประสบการณ์มาก แต่ก็อยากบอกเล่าในสิ่งที่รู้ให้เค้าได้รับรู้น่ะค่ะ สำหรับคนที่อยากจะประกวดของ WCS ในปีถัด ๆ ไป อย่างน้อยก็อยากจะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์อะไรบ้าง

Cosplus| ก็คือคู่เรามีความบาลานซ์ที่ดีจากที่กรรมการได้ว่ามา แล้วพอเราไปเราก็อยากกลับมาถ่ายทอดให้กับตัวแทนในอนาคตข้างหน้า?

PaPiPu| ใช่ค่ะ แล้วก็ด้วยความที่พอไป เหมือนแบบพอไปญี่ปุ่นแล้วเราไปเปิดโลกค่ะ คือทุกประเทศ พอเวลามีอะไรเค้าค่อนข้างจะแบ่งปันข้อมูลทุกอย่างเลย อันนี้รู้สึกประทับใจมาก บางทีเราอาจจะต้องการถามเค้าแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนเดียวหรือส่วนน้อย แต่ว่าเค้าก็บอกขั้นตอนทุกอย่างเลย วิธีการทำยังไงเค้าจะไม่มีแบบกั๊กหรืออะไรแบบนั้นเลยค่ะ เค้าก็จะบอกข้อมูล เทคนิคทุกอย่าง

Madara Naito| ก็คือทีมเรามีความบาลานซ์กว่าครับ ก็คือ เก็บชุด เก็บฉากให้ครบ แค่นั้น เราอย่าไปทิ้งของบนเวที อย่าไปวางอะไรให้มันรกเวทีอะครับ ประมาณนั้น

Cosplus| ก็คือเราไม่ได้ทิ้งของบนเวที เราเก็บฉากได้อย่างรวดเร็ว เรามีบาลานซ์ที่ดี ก็คือคุณสมบัติของเรา?

Madara Naito| ใช่ครับ อย่างอุปกรณ์ที่เราใช้แสดงแล้วอาจจะเป็นพวกดาบ พวกอะไรแบบนี้ เราอาจจะทิ้งออกจากมือเรา เราควรจะทำฉากหรืออะไรก็ได้มา .. ให้มันเก็บ .. โดยที่ไม่เห็นว่ามันถูกวางทิ้งไว้บนเวทีอะครับ หรือว่าความสะอาดตา เพราะว่ากรรมการเค้าเห็น เค้าจะแบบว่ามันดูแล้วเหมือนเห็นสิวอะไรแบบนี้น่ะครับ มันก็วางอยู่อย่างนั้น ต่อให้เราใช้ไปแล้ว ซึ่งทีมทั่วโลกเค้าจะไม่ให้ใครทิ้งอะไรพวกนี้ไว้บนเวทีเลย มันจะเคลียร์มาก เพื่อที่ว่าเวลาเก็บกวาดมันจะเร็วมาก เพราะว่าแต่ละทีมแข่งที่ญี่ปุ่นมันจะรันต่อกันแบติด ๆ มีเวลา 30-40 วินาทีเองในการผลัดเปลี่ยนทีม ซึ่งน้อยมาก

ตรงนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เค้ามองว่าเราสามารถทำได้ เราเคลียร์ของได้เร็วมาก เพราะว่าตัวผู้ประกวดต้องเคลียร์ แล้วก็ไปวางของเองอะไรแบบนี้นะครับ เพราะฉะนั้นอาจจะต้องฝึก ฝึกวาง ฝึกออกแบบ ออกแบบฉาก ออกแบบอุปกรณ์ให้มันสามารถที่จะไปพร้อมตัวเราได้เลย เพื่อให้เวทีมันเคลียร์มากที่สุดนะครับ

 

12 | แล้วก่อนที่จะไปถึงญี่ปุ่น เราได้รับความช่วยเหลือหรือขอความช่วยเหลือ ขอคำแนะนำจากใครบ้างไหมคะ?

Madara Naito| อ้า .. ก็มีพี่บาสครับ เค้าอยู่ทีม Village Hope ทีมหมู่บ้าน เค้าเคยเป็นตัวแทนประเทศไทยปี 2013 ครับ ก็ไปถามเค้า แล้วก็ขอความช่วยเหลือจากที่ 2 ตอนรอบชิงนะครับ ของเรื่องสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ที่ลายของตัว Jack the Ripper ครับ มีการขอไป แต่ว่า .. คือขอสั่งทำ ขอซื้อ แต่ว่าเค้าใจดี ปริ๊นท์ให้เราฟรีเลย เหมือนเค้าช่วยเราในเรื่องตรงนี้ไปด้วยเลย แล้วก็มีเรื่องแฟนของพี่บาสก็ช่วยพากย์เสียง Mordred ให้ แล้วก็มีเพื่อน ๆ เอาเรื่องของไมโครโฟนมาให้อัดเสียง

แล้วก็มีทีม I-Play อะครับ ทีมที่แสดงเป็น Resident Evil ก็ช่วยเรื่องที่พักระหว่างตอนที่ไปอัดเสียง ก็คือไปอัดที่บ้านเค้า ก็คือมีการช่วยเหลือระหว่างคนที่แข่งอะครับ ถึงแม้ว่าเค้าไม่ได้ไป เค้าก็ช่วย Support เราตรงนี้

Cosplus| ก็คือเราก็ได้รับความช่วยเหลือจากทีมอื่น ๆ และจากเพื่อน ๆ ของเราพอสมควรทีเดียว

Madara Naito| ใช่ครับ ผมว่าเป็นเรื่องที่มีคนเคยพูดไว้ในวงการคอสบ้านเรานานมากแล้ว ว่าเวลาเราแข่งเสร็จ เราไม่ช่วยอะไรกัน ก็คือแข่งเสร็จก็ตัวใครตัวมัน แต่ผมรู้สึกว่าผมโชคดีที่ไม่ได้เจออะไรแบบนั้น

Cosplus| คุณ PaPiPu มีความเห็นเพิ่มเติมไหมคะ?

PaPiPu| อืม .. ไม่มีค่ะ (หัวเราะ)

 

13 | แล้วเราเตรียมตัวไปแค่ไหนคะ เห็นว่ามีเปลี่ยนโชว์ด้วย ชุดเราก็พัฒนาขึ้นไปอีก ทำไมถึงตัดสินใจที่จะปรับโชว์ไปเป็นแบบนี้คะ?

Madara Naito| จริง ๆ ทางกรรมการ ทางสต๊าฟ คือเค้าเคลมเรื่องชุดมา เรารู้ว่า Costume เราแย่มาก คือมันก็ยังไม่เหมือนกับชุด Ripper ยังไม่เหมือนต้นฉบับ 100% เพราะว่าชุดมันวับ ๆ แวม ๆ เราก็กลัวเรื่องอนาจาร แต่ว่าพี่ที่เค้าแนะนำ เค้าก็เป็น Pro Player แล้ว ก็แนะวิธีมา เราก็ อ๋อ .. แบบนี้นี่เอง แล้วเราก็ไปปฎิบัติตาม แค่นั้น

ส่วนเรื่องการแสดงคือว่า ตัวผู้จัดงานน่ะครับ ตัวเจ้าของ WCS ที่เป็น CEO เองเลย เค้าก็เดินเข้ามา เค้าบอกว่า เค้าอยากได้อะไรที่มีจุด Climax มากกว่านี้ มี Surprise มากกว่านี้ มีจิตสังหารในการต่อสู้ที่มันมากกว่านี้ ต้องการอะไรที่มัน Real ขึ้น เรารู้สึกว่าในเมื่อตัวเจ้าของงานเองบอกอย่างนั้น เราก็กลับไปทำการบ้าน แล้วก็เราจะทำยังไง ให้มันมีอะไรที่มันตื่นตาตื่นใจ ที่มันเป็นกิมมิค ที่เค้าจะดูเราแล้วเค้าจำ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเทคนิคง่าย ๆ ยังงี้ ผมก็ไปหาแรงบันดาลใจตรงนั้นมา แล้วก็เอามาใส่ตรงนี้ครับ

Cosplus| คุณ PaPiPu มีอะไรอยากเสริมไหมคะ?

PaPiPu| น่าจะไม่มีนะคะ เพราะว่าเราทำพร้อมกัน (หัวเราะ)

Cosplus| ก็คือช่วยกันทำ Support กัน

PaPiPu| ใช่คะ ก็ช่วยคิด … ด้วยความที่ประสบการณ์น้อยเลยไม่รู้จะบอกเล่ายังไงดีค่ะ เพราะเค้าพูดไปหมดแล้ว (หัวเราะ)

"Interview

 

14 | ทราบว่าทั้งคู่มี Skill ภาษาญี่ปุ่นติดตัว โดยเฉพาะคุณ PaPiPu ความสามารถตรงนี้เป็นประโยชน์ในการไป WCS มากน้อยแค่ไหนคะ?

PaPiPuมาก ๆ ค่ะ (หัวเราะ) ด้วยความที่คุณไนท์เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่แข็ง แล้วก็พูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย ทางนี้พอมีเวลาด้วยความที่สต๊าฟของเรา เค้ามีหน้าที่อย่างอื่นที่จะต้องไปปฎิบัติด้วย ก็เลยไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลาค่ะ ก็เลยต้องใช้ Skill ภาษาญี่ปุ่น คอยไปถามสต๊าฟญี่ปุ่นคนอื่น คนนู้นคนนี้ว่ามีตารางอะไรยังไง ต้องทำอะไรบ้าง หรือเวลาที่เราไม่เข้าใจในกฎกติกาการแข่งขัน เราก็ต้องไปถามให้แน่ใจอีกที ค่อนข้างมีประโยชน์มาก ๆ ค่ะ ถือว่าใช้คุ้มมาก

Madara Naito| จริง ๆ คนที่อยากไป WCS ควรมี Skill ภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานจริง ๆ  .. ไม่ใช่แค่เรื่องสื่อสารกับสต๊าฟอะครับ เราใช้ในการคุยกับเพื่อนด้วย เราจะได้เพื่อนหรือเปล่า อยู่ที่ตรงนี้ด้วย … บางทีมเค้าไม่คุยก็มีเหมือนกัน แต่ว่าการสื่อสารน่ะครับ การพูดเล่น การหยอกล้อกัน อะไรพวกนี้มันทำให้เราได้เพื่อน เมื่อเราได้เพื่อนแล้ว การที่เราคุยกับทีมนั้นทีมนี้มันลดความตึงเครียดของการไปแข่งน้อยลงครับ เพราะว่าคนที่นู่นก็จะเอ็นจอยกันมาก

แล้วก็เรื่องของสต๊าฟ ก็อย่างที่น้องพู่ว่า ปีนี้สต๊าฟไม่ได้อยู่กับตัวเรา 100% ก็คือเค้าจะโผล่มาช่วงบอกตาราง แล้วก็จะหายตัวไป ซึ่งเราจะรู้แค่ว่าต้องไปตรงไหน กี่โมง แต่เราจะไม่รู้ดีเทลหลังจากนั้นเลยว่าแล้วต้องทำอะไรบ้าง ก็คือ .. ไนท์ต้องคอยบังคับน้อง (หัวเราะ) คอยไล่เค้าไปถามสต๊าฟใหญ่อีกทีนึงว่า ต้องทำอะไรเหรอ ทำอะไรบ้าง ซึ่งผมพูดได้เลยว่าผมโชคดีที่มีน้องเค้าตรงนี้ เพราะว่าถ้าไปกับคนอื่นน่ะครับ ต่อให้ได้ภาษาอังกฤษก็ตามที ผมก็ว่าไม่น่ากลับมาสภาพนี้ครับ น่าจะเละเทะกว่านี้เยอะเลย

ส่วนใหญ่การแข่งเนี่ย ผมว่าเป็นอะไรที่เข้าใจง่ายมาก ๆ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ยากที่นู่นก็คือในเรื่องของการพรีเซนต์ชุด ซึ่งต้องพรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งน้องก็ไม่แข็ง แต่ว่าโชคดีที่ว่าเค้ามีล่าม เป็นล่ามแปลญี่ปุ่นเป็นอังกฤษให้อีกทีนึง

แล้วก็เรื่องการรับฟังดีเทลตัวงานบนรถบัส ก่อนไปนั่นไปนี่ เค้าจะชี้แจงให้เราฟังอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราฟังไม่รู้เรื่องเลยตรงนี้ เราจะไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร ในขณะที่ทีมอื่นเค้าจะรู้ว่าทำอะไร คือ เค้าจะมีสต๊าฟใกล้ชิด สต๊าฟบางทีมนอนเฝ้าฉากก็มี คือ ก็คิดว่าถ้าจะมีอะไรดีกับบ้านเรา เรื่องสต๊าฟน่าจะเข้าถึงแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนผู้เข้าแข่งขันนะครับ มากกว่านี้ เรารู้สึกว่าการให้คนที่เค้า .. บางประเทศเค้าไม่มีสต๊าฟนะครับ แต่เค้าเอาคนที่เคยแข่งมาก่อน เค้าเอา Alumni มาเป็นสต๊าฟติดตามแทน แล้วตรงนี้จะช่วยผู้เข้าแข่งขันได้เยอะกว่า  เพราะว่าเค้าเหมือนเป็นรุ่นพี่ เค้ารู้ว่าต้องทำอะไรยังไง ในขณะที่สต๊าฟบางทีก็ไม่แน่ใจว่าเราต้องทำอะไรเหมือนกัน

ซึ่งมันก็มีเหตุการณ์ที่ว่าประสานงานผิดพลาด ชุดเกราะไนท์ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่เลย คือเป็นการประสานงานที่ผิดพลาด แล้วก็ทำให้ตัวเราไปอยู่อีกที่หนึ่ง แล้วชุดของเราไปอยู่อีกที่หนึ่ง โดยที่มันก็น่าจะเป็นส่วนของสต๊าฟที่จะต้องดูแล ดูแลจัดการตัวผู้เข้าประกวด เหมือนกับว่าเราก็ต้องไปวิ่งตามเรื่องเอง ซึ่งเราไม่สามารถที่จะดูแล เราดูแลชุดเราดี เราก็โกยไอ้ที่เราได้มา แต่อะไรที่เค้าบอก เราก็ทำตามที่เค้าบอก แต่ในเมื่อบางครั้ง สิ่งที่เค้าบอก มันไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องทำจริง ๆ นะครับ มันจะเกิดความคลาดเคลื่อน แล้วก็เป็นปัญหาจริง ๆ เพราะฉะนั้นเราคิดว่าต้องใส่ใจเรื่องตรงนี้มากขึ้นนะครับ .. คิดว่าถ้ามีต่อ ๆ ไปก็อยากจะให้ทางผู้จัดเลือกคนที่เป็น Alumni ตามผู้เข้าแข่งขันไป ตรงนี้จะมีประโยชน์กว่า

Cosplus| ก็ถือว่าได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นคุ้มเลยนะคะ

Madara Naito| ครับ ก็อยู่ที่นั่น จากที่พูดไม่ได้เลยก็เริ่มพูดได้แล้ว เริ่มพูดอังกฤษได้

PaPiPu| ส่วนอันนี้ก็ต้องนั่งคิดบทพรีเซนต์ จนถึงตี 4 (หัวเราะ)

Madara Naito| (หัวเราะ) ตี 4 แล้วตื่นไป

PaPiPu| แล้วก็ตื่นไปพรีเซนต์ตอน 6 โมงเช้า เวลามีตารางเวลาอะไรที่เรางง ๆ ก็ต้องไปถามสต๊าฟญี่ปุ่น เดินไล่ไปถามแล้วก็พวกแบบ เค้าจะมีให้เข้าไปคุยกับสต๊าฟเรื่องการจัดแสง สี เสียง ด้วยความที่เราไม่ได้แข็งภาษาอังกฤษ แล้วส่วนมากสต๊าฟเค้าเป็นคนญี่ปุ่นซะเกือบหมดเลย ก็จะมีบางคนที่แบบว่าฟังอังกฤษได้ แต่เราก็ด้วยความที่เค้าฟังญี่ปุ่นได้ เราก็สื่อสารเป็นญี่ปุ่นกับเค้าซะเลย จะง่ายกว่า ภาษาสำคัญมาก

Madara Naito| ภาษาสำคัญ สำคัญพอ ๆ กับการไปแข่งเลย

 

15 | ก่อนไปญี่ปุ่นตื่นเต้นไหมคะ มีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นไหมก่อนที่เราจะไป?

PaPiPu| (หัวเราะ)

Madara Naito| จะเรียกอุปสรรคก็ไม่เชิง คือเราขาด .. เราได้งบจากการแข่งขันช้ามากอ่ะครับ ทำให้ตัวผู้เข้าแข่งขันต้องควักกระเป๋าเองก่อน ทุกอย่างเลย (หัวเราะ)

PaPiPu| ต้องออกเอง แล้วก็ไปอยู่ญี่ปุ่นก็ต้องควักเองด้วย

Madara Naito| ถ้าอย่างปีที่ผ่าน ๆ มาอาจจะไม่มีเงินรางวัลให้ แต่ก็จะมีเรื่องของตั๋วเครื่องบิน เรื่องอะไรไป ปีนี้คนที่แข่งก็เซฟกระเป๋าตัวเองระดับนึงเลยที่ว่าถ้าคุณจะไป ก็ต้องมีเงินที่แบ่งออกไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าเค้าจะมี Pocket Money ให้เราอะครับ แต่มันก็อาจจะไม่พอใช้ ไม่พอกินก็ได้ ตรงนี้จะเป็นอุปสรรคที่ ใครอาจจะเจอก็ได้ ถ้าเป็นงานที่ไม่มีเงินรางวัลอย่างที่เราเคยได้ยินมา เป็นแค่ตั๋วบินไปเลย เป็นสิทธิ์ได้บินไป ก็ต้องมีเงินทุน

PaPiPu| มันไม่พอ ควรมีเงินเยอะ

Madara Naito| มีเงินทุนระดับนึงในการใช้ทำตรงนี้ เพราะว่ายังไงการทำชุดคอสเพลย์ เราใช้เงินอยู่แล้ว เรามีเงิน เรามีเวลา ผมว่าเราทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ปีนี้เราเจอ คือ เราแทบจะไม่มีอะไรเลย (หัวเราะ) เรายังถือว่าเรายังโชคดีที่เราพอมีตรงนี้บ้าง ก็เลยไปได้อะครับ

Cosplus| เรามีเงินสำรองของเรา ที่เราสำรองออกไปก่อน

Madara Naito| ใช่ครับ

PaPiPu| ประมาณว่าคนนึงก็จะออกในส่วนของพร็อพ ทำอุปกรณ์อะไรไป อีกคนก็จะ Support ในเรื่องต่าง ๆ ตอนไปญี่ปุ่นแทนค่ะ ประมาณนั้น

Madara Naito| เราก็เลยคุย ก็เลยแบ่งกันว่า ผมจะจ่ายเรื่องค่าชุด ค่าฉาก ค่าอุปกรณ์ทุกอย่างที่นี่ แล้วก็ให้น้องพู่จ่ายเรื่องค่ากินอยู่ที่นู่น แบ่งกันคนละครึ่ง ๆ ไปเลย ซึ่งเราก็ต้องแบ่งข้าวกันกิน ต้องแบ่งขนมกันกินอ่ะครับ ซึ่งตอนไปช่วงแรก ๆ ตอนที่เรายังไม่ได้ Pocket Money เราไปเราไม่รู้อะไร เราคิดว่าจะพอกินหรือเปล่า ก็ต้องมานั่งคิดว่าวันนึงใช้ได้คนละกี่เยน ก็จะเป็นอุปสรรคตรงนี้ในการใช้ชีวิต แต่ถ้าใครที่คิดจะไป WCS จริง ๆ ผมก็แนะนำว่าให้เก็บเงินตรงนี้เอาไว้ด้วย เพราะถ้าเกิดฉุกละหุกขึ้นมาแล้ว ไม่มีเงินไปตรงนี้ จะใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก เพราะว่าของที่นู่นขั้นต่ำก็ ..

PaPiPu| 30 บาท

Madara Naito| 30 บาทแล้วอะครับ มันไม่มีของที่ถูกกว่านั้นแล้ว การกินข้าวมื้อ ๆ นึงเนี่ย 2 คนบางทีก็ 1,500 – 2,000 เยน โดยเฉลี่ยต่อมื้อนะครับ

PaPiPu| ประมาณ 300-400 บาท

Madara Naito| ประมาณ 300-400 ต่อมื้อ แล้วเราต้องอยู่ 2 อาทิตย์ตรงนี้ ถ้าเราไม่สำรองเงินทุนไว้ เราจะมีปัญหากับการใช้ชีวิตที่นู่น เพราะว่ามันไม่ใช่บ้านเราด้วย แล้วก็ .. เรื่องยา เรื่องอาการป่วยต้องเซฟดี ๆ เพราะว่าตอนไปน้องชมพู่ก็ป่วย ไข้ขึ้น

PaPiPu| ก่อนแสดง (หัวเราะ)

Madara Naito| ก่อนแข่งวันเดียว ก็คือเช้าต้องไปแข่งแล้ว แล้วก็ไม่สบาย เราอยากให้คิดว่าเหมือนไปแข่งโอลิมปิคอะครับ เพราะเราโดนทดสอบทุกอย่างจริง ๆ เพราะว่าเราไป เรากินดีอยู่ดี มีอาหารการกินดี ๆ เยอะ แต่เราก็ต้องไปทำภารกิจ นู่น นั่น นี่ เยอะเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทั้งตัวเงิน ทั้งสุขภาพ อันนี้ต้องเซฟดี ๆ เลย อุปสรรคก็จะมีอยู่ประมาณนี้ละครับ เป็นอุปสรรคทางภายนอกอะครับ

Cosplus| แต่ภายในเราแข็งแกร่ง

Madara Naito| ภายในก็ .. ต้องประคับประคองกันไปครับ (หัวเราะ)

PaPiPu| (หัวเราะ) มันจะมีปัญหา มันจะมีอย่างบางทีก็จะมีปัญหา อย่างทะเลาะกันรุนแรง

Madara Naito| มีทะเลาะก็มี

PaPiPu| ไม่คุยกันก็มี คือ ต้องคอย Support กันดี ๆ .. เรื่องอารมณ์น่ะค่ะ เราก็จะต้องพยายามทำความเข้าใจทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ .. เอาแต่ฝ่ายเราฝ่ายเดียว

Madara Naito| (หัวเราะ) ผมคิดว่าการทำแบบนี่นะมันหิน แล้วมันทำกิจกรรมเยอะ เพราะฉะนั้น ต่อให้เอาคนที่อารมณ์ดีที่สุดไป ผมว่าก็ยังเหนื่อย บางทีอารมณ์ดีทั้งวันนะฮะ เจอหน้าตอนเช้านี่คือ คือสภาพเค้าก็ไม่ไหวพอ ๆ กับเราเหมือนกัน เพราะงั้น .. ต้องทั้งการเงินและสภาพจิตใจ ตรงนี้มันจะเป็นอุปสรรคตั้งแต่ที่ไทยละ ยิ่งไปอยู่ที่นู่นมันต้องยิ่งเซฟตัวเองดี ๆ

สำหรับผมอุปสรรคอย่างการทำงาน เวลา มันไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ แต่ว่าเรื่อง Pocket Money หรืออะไรพวกนี้ เราต้องเซฟตัวเองดี ๆ กับสิ่งที่ระดับของการแข่งกับสิ่งที่เราได้รับในวงการบ้านเราตอนนี้ มันประมาณนี้ แต่ผมก็ถือว่ายังดีกว่าบางประเทศ ซึ่งผมก็ถามเพื่อนเค้า เค้าก็บอกว่า บางประเทศโดยส่วนใหญ่จะได้แค่สิทธิ์แต่ไม่มีเงินรางวัลนะครับ ก็คือต้องควักเงินตัวเองมา ต่างประเทศก็ต้องควักค่าสัมภาระ ค่าน้ำหนักของมาเอง ซึ่งบางทีมโดนไป 2-3 หมื่นก็มีครับ ซึ่งทุกคนก็ไม่ใช่แค่ประเทศเรา หลาย ๆ ประเทศก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ตรงนี้เราต้อง Support ตัวเองดี ๆ นะ คุณต้องมีเงินจำนวนหนึ่งที่ส่งตัวเองไปด้วย แต่บ้านเรายังถือว่าดีกว่าหลาย ๆ ประเทศตรงที่ว่ามันก็ยังเหลือเงินรางวัลตรงนี้กลับมา ตอนที่เรากลับมาไทยแล้วอะครับ

 

16 | อย่างที่บอกว่าไปร่วมกิจกรรมเยอะมาก เรามีชอบกิจกรรมไหนเป็นพิเศษไหมคะ หรือมีอะไรที่อยากบอกเล่าให้ฟังไหมคะ?

Madara Naito| น่าจะกิจกรรมสุดท้ายนะครับ ก็คือไปออนเซ็นน่ะครับ

PaPiPu| เป็นกิจกรรมพักผ่อนเลย เป็นไปออนเซ็น คือ จะเป็นวันพักผ่อน จะไม่มีอะไรทำมาก เหมือนเราย้ายไปอีกที่นึงเสร็จแล้ว

Madara Naito| ไปก็คือ ไปเปลี่ยนชุดเป็นยูคาตะ เสื้อคลุมอาบน้ำอะไรอย่างนี้น่ะครับ แล้วก็ไปรอกินข้าวอย่างเดียว แล้วก็อยากจะทำอะไรก็คือทำเลยวันนั้น เป็นเวลาผ่อนคลายอย่างเดียวเลยที่เรารู้สึกว่าอันนี้คือผ่อนคลายจริง ๆ อาหารการกินอะไรคือดีมาก แล้วทุกคนก็คือจะปล่อยอะไรกันวันนั้นวันเดียวเลย

PaPiPu| เพราะว่ามันเป็นวันหลังจากแข่ง มันไม่ได้มีอะไรที่เราจะต้องมานั่งเครียดแล้ว มันค่อนข้างอิสระ เป็นวันที่เหมือนกับว่าให้เราเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อน

Madara Naito| อารมณ์คล้าย ๆ เลี้ยงส่งพนักงานนะครับ เพราะว่าการทำกิจกรรมอย่างนี้ เราลงรูปอาจจะดูเหมือนสนุกสนาน แต่อย่างที่บอกคือ เราตื่น 6 โมงเช้ากันแทบทุกวันตลอด 2 อาทิตย์ บางวันก็มีแบบแต่งตอนเช้าจนถึงเกือบจะเย็นครับ พอช่วงเย็นกลับมาต้องแต่งอีกชุดนึง เพื่อไปงานต่อก็มีน่ะครับ

บางวันต้องแต่ง 2 ชุด ถึงแม้วันที่ไม่ได้แต่งคอสเพลย์ ก็ต้องทำอย่างอื่นน่ะครับ อย่างเช่น  วันที่ไม่ได้แต่งก็จะมีวันนึงที่ผมอยู่แต่ในโรงแรมเลย ไม่ได้ออกไป คือต้องไปประกอบฉากเพื่อชั่งน้ำหนัก เพื่อเช็คน้ำหนักว่าไม่ได้หนักเกินไป อะไรเกินไป

Photo Cr.| WCS Facebook

PaPiPu| ก็ต้องคุยกับสต๊าฟเรื่องจัดแสงสี

Madara Naito| แล้วก็ต้องไปทำวิดิโอพรีเซนต์ ต้องไปคุยเรื่องแสงสีเสียง

PaPiPu| แล้วก็ไปตอบสัมภาษณ์

Madara Naito| แล้วก็ไปเขียนบทสัมภาษณ์ ตอบเหมือนเป็น Question เหมือนทำโพลให้เค้าน่ะครับ แล้วการไปทำกิจกรรมนอกสถานที่เนี่ย เป็นเหมือนการโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวให้เค้านะครับ ซึ่งเค้าก็ดูแลเราตรงนี้ ซึ่งต้องเข้าใจจุดประสงค์ของตัวงานของผู้จัดด้วยส่วนนึง คือเค้าก็อยากอนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์สถานที่ตรงนี้เอาไว้ โดยการใช้คอสเพลย์เข้าไปโปรโมทน่ะครับ

ซึ่งโดยส่วนใหญ่ใน 2 อาทิตย์ก็จะมีอยู่แค่นี้ คือ มีแข่ง มีสลับกันกับโปรโมท เหมือนเราไปทำงานเต็มทุกวัน แต่ว่าเราก็จะมีช่วงเบรค ช่วงเอ็นจอย ถ้าเป็นช่วงพักผ่อนจริง ๆ เราจะได้พักช่วงหลัง 2 ทุ่มไป แต่กว่าจะจัดการตัวเองอะไรเสร็จ มันก็ดึกมากแล้ว เหมือนทุกทีมจะมีอาการอดหลับอดนอนเกือบหมดเลย (หัวเราะ)

แต่ถ้าเป็นกิจกรรมที่ผมรู้สึกแบบใครไป WCS จะแฮปปี้ที่สุดแล้วก็คือไปออนเซ็นนะครับ ทุกคนจะเฮฮา ทุกคนจะเต้น ร้องคาราโอเกะกัน บางทีกินเลี้ยงเสร็จแล้วก็มีชวนเพื่อนไปห้องเพื่อไปปาร์ตี้ต่อยันเช้าก็มี เป็นวันที่ผมรู้สึกว่าทุกคนแฮปปี้มาก เราก็แฮปปี้ เรารู้สึกว่าเราจดจำบรรยากาศตรงนี้ได้ดีที่สุดตั้งแต่ไปเลย

Cosplus| คุณ PaPiPu รู้สึกอย่างเดียวกันหรือเปล่าคะ?

PaPiPu| ค่ะ ประมาณนั้นค่ะ (หัวเราะ) มันก็ไม่มีวันไหนที่มันดูแบบว่า เท่าของออนเซ็นแล้ว (หัวเราะ)

Cosplus| เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะรู้สึกเครียด กดดันมากกว่า?

PaPiPu| ค่ะ เพราะว่าเราก็ต้องทำตามตารางกิจกรรมที่เหมือนไปโปรโมทสถานที่อะไรให้เค้าค่ะ ก็ต้องตื่นแต่เช้าบางทีวันนึงก็ไป 3-4 ที่

Madara Naito| แล้วคือเรามีระเบียบ เราไปแล้วเข้มงวดกับตัวเองมาก คือ เค้านัด 9 โมง ไนท์กับชมพู่จะไป 8:30 น.จะไปก่อนครึ่งชั่วโมงเพื่อรอทุก ๆ วันเลย จะไม่เลทให้ช้าครับ เพราะส่วนหนึ่งคือเค้าบอกค้าย้ำเราว่า No Late ถ้าเลทคืออาจจะติดอยู่ในที่ ๆ นึงหรือว่าโดนว่าก็เป็นได้

PaPiPu| ไปญี่ปุ่น เวลาเค้าเป็นเรื่องสำคัญค่ะ คือต้องรักษาเวลาแบบเป๊ะ ๆ มาก ก็เลยต้องมีวินัยค่อนข้างพอสมควรเลย จะให้เราไปแบบ เอ้อ .. สบาย .. เดี๋ยวค่อยทำอะไรก็ได้ มันไม่ได้อะค่ะ มันต้องทำตามเวลาแล้วก็มีระเบียบจริง ๆ

"Interview

 

17 | แล้วเรามีวิธีคลายเครียดกันเอง หรือมีวิธีที่จะปลุกใจ คลายกังวลกันยังไงคะ?

Madara Naito| ถ้าเป็นวันปกติ ถ้าช่วงอยู่โตเกียวคือห้องที่พักจะมีวิวค่อนข้างดี แล้วก็ที่นั่นเค้าจะมีอ่างน้ำครับ ก็จะเน้นไปทางแช่น้ำ แช่น้ำอุ่น ๆ แล้วก็นอน อันนั้นคือในช่วงที่ทำกิจกรรมหรือทำงาน จะเป็นอะไรที่รู้สึกว่าพักผ่อนได้ดีที่สุด แล้วก็ถ้าเป็นของส่วนตัวไนท์ก็จะมี .. ไปซื้อเหมือนกาชาปองครับ คือไนท์ชอบโปเกมอน ก็จะซื้อของเล่นกาชาปองมาเปิดลุ้นดูทุกวัน วันละกล่อง 2 กล่องอะครับว่าเราจะได้อะไรบ้าง เป็นการคลายเครียดโดยการซื้อของที่ตัวเองชอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุก ๆ วัน

PaPiPu| บางทีมเค้าก็จะไปเดินซื้อของอะไรกัน เหมือนคลายเครียดน่ะค่ะ ถ้าของเราก็จะไปซื้อของคลายเครียด ไม่ก็แบบแช่น้ำ (หัวเราะ) เพราะไม่สามารถไปที่ไหนได้ไกล ๆ อ่ะค่ะ

Madara Naito| บางวันก็เลือกกินของอร่อย ๆ ซักมื้อนะครับ ช่วยได้ เพราะว่าอาหารที่นู่นตามร้านอาหารอร่อยมากอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่เราจะกินแต่อาหารโรงแรม อาหารที่เค้าจัดให้ ไม่ก็ .. ตามร้านสะดวกซื้อครับ ซึ่งกินเพื่ออยู่ซะส่วนใหญ่ การแช่น้ำ การซื้ออาหารดี ๆ ซักมื้อนึงกินเนี่ยผมว่าช่วยได้ อันนี้เป็นการผ่อนคลายในช่วงที่ทำกิจกรรมครับ ได้ดีที่สุด

Photo Cr.| Madara Naito

 

18 | พอเราไปเห็นผู้ประกวดทีมอื่น ๆ เห็นชุดเค้า เห็นโชว์ของเค้า เรารู้สึกยังไงบ้างคะ?

Madara Naito| เรารู้สึกว่า 40 ประเทศที่มาคือหัวกะทิของปีนั้น ๆ ในแต่ละประเทศแล้วครับ ไม่ว่าเค้าถูกส่งมาด้วยเหตุผลอะไร ผมว่าเค้ามีดีของเขา ทุกคนมีดีของเค้า แต่ว่า … เราคิดว่าเราไม่ได้มาแข่งอะครับ เราคิดว่าเรามาเพื่อความรู้ มาทำสิ่งที่เราตั้งไว้ให้สำเร็จ ซึ่งอะไรเรามองว่าดี เราก็เข้าไปคุยกะเค้า เราไปเพื่อเข้าไปชมเค้า ไปคุยกับเค้า เค้าก็จะมาชมเราในส่วนที่ดี เค้าก็จะถามในส่วนที่เรามีดีของเรา เราก็จะถามเค้าในส่วนที่ดีของเค้าจริง ๆ

ถ้าเห็นบรรยากาศหลังเวทีหรือตอนแข่งอะไรก็ตาม ไม่มีทีมไหนมายืนเคร่งเครียด เขม่นใส่กัน คือไม่มี ทุกคนจะคอยเฮ คอยตบมือให้ทีมที่ขึ้นไปแข่งครับ คือเราไม่ได้รู้สึกว่าเรากำลังจะแข่งกับใคร เรารู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในกลุ่มของคนที่รักคอสเพลย์ด้วยกัน ไม่ว่าใครจะขึ้นไป ไม่มีใครเป็นศัตรู ไม่มีใครเป็นคู่แข่ง จะมีอย่างทีมเกาหลี เค้าพูดเอาไว้คำนึงก่อนแข่งและทุกคนจำได้ คือเค้าบอกว่า “คุณไม่ต้องไปสนใจเรื่องการแข่งหรอก คุณแค่ขึ้นไปเวทีนั้น ทำสิ่งที่คุณต้องทำ แล้วลงมา แล้วเราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเท่านั้น” ทุกคนจะยึดตรงนี้แล้วทำตรงนั้นครับ แค่ทำให้ดีที่สุดบนเวที ลงมาเราก็เป็นเพื่อนแฮปปี้เฮฮา ตรงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ WCS จริง ๆ คือ .. คือเพื่อน ถ้าเราจริงจังกับการแข่งขันมากไป ผมคิดว่าเราอาจจะพลาดส่วนสำคัญที่ดีที่สุดตรงนี้ไป

Cosplus| คุณ PaPiPu มีความเห็นยังไงบ้างคะ?

PaPiPu| ก็ .. ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) เค้าพูดสิ่งที่หนูจะพูดไปหมดแล้ว ไม่รู้จะเสริมอะไรดีค่ะ (หัวเราะ)

 

19 | คิดว่าทีมไทยเราเองมีจุดอ่อนจุดแข็งยังไงบ้างคะ?

Madara Naito| ถ้าเป็นส่วนตัว ไนท์รู้สึกว่า ไนท์ให้เวลากับ Costume น้อยมาก ๆ ถ้าเทียบกับทีมอื่น คือ บางทีมเค้าทำกันข้ามปีเลย ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกที่คับอกอยู่ในใจของเรา เรารู้สึกว่าเราทำอะไรได้ดีกว่านี้ แต่ว่าโอกาสกับเวลาตรงนี้ที่เราได้มา โดยที่เราไม่คาดคิด เรารู้สึกว่าเราโอเค เราต้องทำให้ดีที่สุด ณ เวลานี้ ณ ตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่เราก็มีของนะครับ เรามีของที่เราอยากจะปล่อย แต่ว่าเราไม่มีเวลาที่เราอยากจะได้มันน่ะครับ เราก็ต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด

ไนท์ก็ได้แต่หวังว่า ถ้าวันนึงไนท์มีโอกาสได้กลับไปอีก ไนท์เชื่อว่าไนท์น่าจะทำได้ดีกว่าตอนนี้มาก ๆ เลย บวกกับเราได้ความรู้ ได้อะไรตรงนั้นจากเพื่อน ๆ ต่างชาติ ผมรู้สึกผมทำอะไรได้มากกว่าที่ผมทำ ณ วันนี้เยอะมาก ๆ เลย คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นส่วนที่เราว่ามันแย่จริง ๆ คือ ผมให้เวลาน้อยจริง ๆ เทียบกับทีมอื่น เค้ายังให้เวลาเยอะมาก ๆ ถ้าเป็นเรื่องความใส่ใจ ผมยังรู้สึกว่าตัวผมยังใส่ใจน้อยไป (หัวเราะ)

Cosplus| แล้วจุดแข็งของทีมเราละคะ คิดว่าตรงไหนเป็นจุดแข็งของเรา?

Madara Naito| ถ้าเป็นจุดแข็ง ผมคิดว่าผมพยายามทำเรื่องของบาลานซ์ ให้มันออกมาสมูทที่สุดนะครับ เรื่องฉาก เรื่องซาวด์ เรื่องอะไรแบบนี้ ให้มันเข้าล็อกมากที่สุด ให้มันผิดพลาดน้อยที่สุด ซึ่งพอเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้มีจุดที่เด่นกว่าคนอื่นเค้า ไม่ได้มีอะไรที่แน่กว่าคนอื่นเค้า ผมรู้สึกว่า ผมเท่า ๆ กับคนอื่นเค้า หรือกับบางทีผมน้อยกว่าด้วยซ้ำ การที่เราไปตรงนั้นมันทำให้รู้ รู้ว่าไอ้ที่เราทำอยู่ตรงนี้ ที่ผมทำ ที่ผมประกวดมาเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ที่ผมทำอยู่เนี่ยมันอยู่ในกรอบมาก ๆ เลย อยู่ในกรอบมากแค่ไหน มันทำให้เราได้เห็นโลกมากขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น

ผมรู้สึกว่า ที่ผ่าน ๆ มาเนี่ย ไม่ว่าจะได้มากี่รางวัลก็ตามแต่ มันได้มาจากความที่ผมยังอยู่ในที่ ๆ มันแคบอยู่ แล้วผมก็ยังอยากจะออกไปให้มันกว้างกว่านี้ครับ ผมรู้สึกว่าเรายังเด็กน้อยอยู่เลยเมื่อเทียบกับโลกภายนอก (หัวเราะ) ซึ่งผมอยากจะโตขึ้นตรงนี้มาก ๆ รู้สึกว่าถ้าวันนึงผมกลับไป แล้วผมคว้ารางวัลอะไรได้สักรางวัลมาได้เนี่ย ผมคงรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นแล้ว อันนั้นก็เป็นความตั้งใจในอนาคตที่อยากจะทำน่ะครับ

 

20 | ด้วยความที่เรามีเวลาเตรียมตัวค่อนข้างน้อย เรามีเวลาจำกัด เราพอใจกับการเตรียมตัวของเราไปแค่ไหนคะ หรือว่ามีอะไรที่อยากทำมากกว่านี้อีกแต่ไม่มีโอกาส?

Madara Naito| จริง ๆ ตอนแรกผมอยากที่จะทำชุดอื่นด้วยซ้ำ เพราะว่ามันสามารถที่จะเปลี่ยนชุดได้ แต่ตามมีพี่ที่เค้าแนะนำมา เค้าก็คิดถูกแล้วว่าอย่าเปลี่ยนเลย ทำไอ้สิ่งที่เรามีอยู่ตรงนี้ ให้มันดีขึ้นดีกว่า ผมก็ทำตรงนั้น แต่โดยรวมคือผมคิดว่า ผมอยู่ในกรุ๊ป A … กรุ๊ป A เป็นกรุ๊ปทีค่อนข้างที่จะโหดร้ายทารุณมาก ๆ เลย (หัวเราะ)

เพราะว่าในการแข่งครั้งนี้ มันมี 7 รางวัล มันมีรางวัลที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 แล้วก็รางวัลพวก Costume พวก Make Up อะไรงี้ .. 4 รางวัลนี่ไปอยู่ที่กรุ๊ป A หมดแล้วละครับ มันกินรางวัลไปมากกว่าครึ่งแล้ว ผมรู้สึกว่าผมได้อยู่ในครึ่งนึงที่ดีของกลุ่มนี้ ผมรู้สึกว่าผมดีใจมาก ๆ แล้ว ที่แบบว่า .. เราอยู่ในกรุ๊ปที่มีแต่คนเก่ง ๆ อยู่จริง ๆ ไม่ว่า Costume, Action อะไรแบบนี้ ทุกคนอยู่ในนั้นจริง ๆ ถึงแม้ว่าเราไม่ได้รางวัล แต่ผมรู้สึกว่า เรารอดเข้าไปได้จากกลุ่มนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า โอเค เราน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ดีพอที่เค้าเห็น ที่เค้าให้เราเข้าไปได้จากกลุ่มนี้ มันก็คงเป็นเรื่องที่ผมต้องมาทบทวนอีกหลาย ๆ รอบ ต้องดูโชว์ ต้องคิดถึงวันเก่า ๆ อะไรอย่างนี้ ผมคิดว่าซักวันนึงผมอาจจะตกผลึกในเรื่องตรงนี้มากขึ้น แต่ตอนนี้คือเราก็ยังอยากจะพักผ่อนจากตรงนั้นอยู่น่ะครับ

Cosplus| แล้วคุณ PaPiPu ล่ะคะ คิดว่าเราพอใจรึยังกับการเตรียมตัวไปของเรา?

PaPiPu| กับการเตรียมตัว .. ถ้าเป็นในเรื่องของชุด Costume อะไรพวกนี้ เราก็แก้ได้ตามเวลาเท่าที่จะทำได้แล้วค่ะ ส่วนในเรื่องการแสดง เนื่องจากว่าส่วนใหญ่เราใช้ไปกับพวกการทำชุด พร็อพ ฉาก เราก็ค่อนข้างที่จะมีเวลาที่เตรียมตัวน้อยมากค่ะ ส่วนตัวเลยคิดว่ายังค่อนข้างน้อยอยู่ค่ะ

Cosplus| เรารู้สึกว่าเวลายังค่อนข้างน้อยอยู่ แต่เราก็ทำดีที่สุดแล้ว?

PaPiPu| ใช่ค่ะ คือพอไปถึงที่นั่น เรายังมีเวลาเตรียมตัวซ้อม เก็บตัวอะไรได้ ก็เลยดีขึ้นตรงนั้น

Madara Naito| เราไปถึงที่นั่น เรายังแก้ชุดอยู่เลย (หัวเราะ) เพราะว่ามีเหตุการณ์ซิปแตกเกิดขึ้น แต่ได้ความช่วยเหลือจากทางสต๊าฟที่นู่น จากคนรู้จักทางนู้นด้วย ก็คือมานั่งช่วยแก้ซิป แล้วก็มีไปซื้ออุปกรณ์ครับ มาทำให้ชุดมันเงาขึ้น อะไรขึ้น ถึงแม้ว่างาน Shop เนี่ยมันจะจบที่ไทยแล้วก็จริง แต่ว่า มันก็ยังมีต่ออยู่ที่นู่นครับ

PaPiPu| ใช่ .. แล้วก็มีพวกอะไรที่เสียหายจากการขนส่งย้ายมา เราก็เลยต้องมานั่งปรับแก้ไข เท่าที่ได้

 

21 | ตอนนั้นคิดว่าเรามีโอกาสลุ้นรางวัล ซักรางวัลนึง หรือว่ามีโอกาสลุ้นในการเข้ารอบต่อ ๆ ไปแค่ไหนคะ?

Madara Naito| ถ้าลองได้ไป ผมว่าแค่การเข้าไปรอบไฟนอลเนี่ย ก็ ..

Madara Naito & PaPiPu| ก็ลุ้นแล้ว (หัวเราะ)

Madara Naito| เพราะว่าปีนี้มันคัดตามสาย เราจะอยู่กับสายเราตลอดเวลา ผมคิดว่าเราโอเคกับตรงนี้ เพราะบางประเทศเค้ายืนอยู่ทีมข้างหน้าเรา เค้าหันมาคุยกับเราแบบ ชั้นเกมโอเวอร์แล้ว เค้าเหมือนรู้ตัวว่าเค้าทำอะไรลงไป ในขณะที่เราแบบ เรายังไม่โอเวอร์นะ เรายังพอมีลุ้นบ้าง ผมก็รู้สึกว่า เราก็ยังมีโอกาสดี ๆ มากกว่าทีมอื่นนะครับ

PaPiPu| คือแล้วเค้าคัดตามสายของเราด้วยที่เค้าเข้ารอบ

Madara Naito| เราอยู่ในกรุ๊ปโหด เราคิดว่า ผมอยู่ในกรุ๊ปนี้แล้วรอดมาได้จนวันสุดท้าย ผมว่ามันก็น่าดีใจแล้วกับผลงานที่เราทำไปแค่นี้ คือผมคิดว่าผมเอาชุดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชุดนี้ไปแข่ง ยังน่าจะมีลุ้นซะกว่า

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

 

22 | แล้วหลังแสดงเสร็จในแต่ละรอบที่เราไปแข่งที่ญี่ปุ่น เราพอใจกับผลงานของเราแค่ไหนคะ?

Madara Naito| จริง ๆ ไม่พลาดเลยเนอะ

PaPiPu| ไม่พลาด

Madara Naito| ไม่มีอะไรพลาด สิ่งหนึ่งที่คนอาจจะยังไม่รู้คือก่อนแข่งอะครับ ถ้าเป็นรอบก่อนเข้า 16 ทีม เค้าจะให้เราเทสเวที สองรอบ

PaPiPu| ช่วงเทสเวทีคือเราพลาด ด้วยความที่เราอยู่ในไทย เราแทบจะไม่มีเวลาซ้อม เราจะไปพลาดตอนที่เทสค่ะ เพราะว่าซ้อมน้อยมาก (หัวเราะ)

Madara Naito| เทสสองรอบ แล้วเราก็คือต้องแสดงใหญ่อะครับ ต้องเล่นจริงเลย ในแสงสีเสียงจริง ซึ่ง … น้องเค้าก็มีอาการพลาด ก็คือว่าจำ Blocking ไม่ได้ เดินไปผิดที่ผิดทาง 2 รอบเลย พอลงมาคือเราก็ต้องแก้ ก็เกือบทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ครับ แต่ว่า คือไนท์เข้มกับเขา เค้าก็รู้สึกว่าตัวเองทำตรงนี้ได้ไม่ดี ก็พยายามแก้ กลับโรงแรมก็แก้ ๆ เพื่อที่วันจริง เช้าวันต่อมา เราจะได้ ..

PaPiPu| ไม่พลาด (หัวเราะเขิน ๆ )

Madara Naito| ซึ่งก็โชคดีไปว่ามันไม่พลาด จากการที่เราพยายามจะย้ำคิดย้ำทำตรงนั้นน่ะครับ อย่างรอบไฟนอลก็จะให้เทสเวทีก่อน 1 รอบ แบบว่าเอาฉากขึ้นไปเต็มเลย

PaPiPu| คือเค้าจะให้นับเวลาแบบขึ้นการแสดงตามจริงเลยค่ะ

Madara Naito| เพราะว่ามันถ่ายทอดสดอะครับ เวลามันกระชั้นมากเลย เพราะฉะนั้นเราจะเสียพลังงานจากตรงนี้ไปเยอะมาก

PaPiPu| มันมีตอนที่แบบว่า ถ้าเป็นรอบก่อนไฟนอล เค้าจะให้เราเทส 2-3 รอบเลย

Madara Naito| จริง ๆ คือเค้าสามารถให้เราเทสได้ 10 นาทีครับ แล้วแต่ว่าเราจะพอใจไหม เราก็รู้สึกว่า 2 รอบละกัน เพราะว่าทีมอื่น ๆ เค้าก็ 2 รอบเหมือนกัน เราก็ไม่อยากจะไปเอารัดเอาเปรียบเวลาของเค้า เราใช้วิธีการมาย้ำคิดย้ำทำ …

PaPiPu| หลังเวที (หัวเราะ)

Madara Naito| มาหลังเวทีเอา เพราะว่าหลังเวทีค่อนข้างฟรีครับ เราสามารถทำอะไรก็ได้ในพื้นที่ของเรา

 

23 | แล้วเราได้ดูการแสดงของทีมอื่นเพื่อน ๆ ประเทศอื่นไหมคะ เราประทับใจชุด ประทับใจโชว์ของทีมตัวแทนประเทศไหนเป็นพิเศษไหมคะ?

PaPiPu| ด้านหลังเค้าจะมีมอนิเตอร์ค่ะ เพราะว่าเค้าจะฉายจากด้านหลัง เราดูทุกการแสดงอยู่แล้วค่ะ แล้วก็คอยดูว่าเค้าอะไรยังไง แล้วก็คอยให้กำลังใจเค้าจากด้านหลังกันทุกทีมเลย

Madara Naito| คือทุกคนจะไปมุงเหมือนไปดูบอลกันอยู่ข้างหลังครับ ถ้าเสร็จแล้ว ส่วนตัวรู้สึกประทับใจ ถ้าเรื่อง Costume ปีนี้ ทุกคนยกให้ทีมออสเตรเลียอยู่แล้ว เค้าทำแบบบ้าเลือดมากครับ คือทุกอย่างมันดูเรียลไปหมดเลย ยังไงคือประเทศนี้ก็คือ Costume ทุกคนก็ ..

PaPiPu| ยอมรับ

"Interview

Madara Naito| ทุกคนก็ให้หมด โดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคุยกันเรื่อง Costume กันซักเท่าไหร่ ทุกคนจะคุยเรื่อง Performance ซะมากกว่า ซึ่งมันก็มี .. เรียกว่าไงดี .. มีการล้อเลียนเพื่อน ๆ ก็คือภาพจำของแต่ละทีม แบบเหมือนเค้าไปแสดงบทเรา อะไรแบบนี้นะครับ เหมือนเป็นการแซว แต่เป็นการแซวในเชิงที่ว่าเค้าชอบตรงนี้ เค้ายอมรับตรงนี้ แล้วเค้าเอาไปแซว แล้วทุกคนก็จะแซวชมพู่เรื่องตัวขาด เค้าก็จะมาคุยกับไนท์เรื่องที่หน้ากากมันเปิดออกมาได้ครึ่งนึง เค้าก็จะมาถามตรงนี้เยอะ ก็จะเป็นภาพจำของแต่ละทีมไป เราก็จะไปคุยกันเรื่องตรงนั้น

อย่างไปออนเซ็น ก็มีล้อมาแล้วก็แสดงบทพวกนี้ แสดงบทของคนอื่นด้วยที่ก็ไม่ใช่ทีมเรา (หัวเราะ) เราก็รู้สึกว่าเหมือนมันเป็นธรรมเนียมที่เรารู้สึกว่า เอ้ย .. เค้ายอมรับเทคนิคตรงนี้ของเรา แล้วเราก็ยอมรับเค้า แล้วก็จะมีเรื่องของการแจกของชำร่วยเพื่อผูกมิตรกันน่ะครับ

แต่ว่าก็รู้สึกว่าผมสนิทนะ แถบเอเชียด้วยกันอย่าง เกาหลี จีน มาเลย์ แถบเพื่อนบ้านเราเนี่ย ผมรู้สึกมันเหนียวแน่นดีครับ จะไปกันเป็นก๊วน แล้วเราได้รับความเป็นเพื่อนตรงนี้เยอะมาก ๆ อย่างวันสุดท้ายก็มีปัญหาเรื่องที่นอน ก็คือสต๊าฟไม่ได้ลงชื่อเราในออนเซ็น ก็ทำให้เราไม่มีห้องนอน

PaPiPu| ด้วยความที่ตอนแรก ทางญี่ปุ่นเค้าคิดว่าเราได้ตั๋วกลับไปก่อนที่จะไปออนเซ็น เค้าเลยไม่ได้ลงห้องนอนไว้ให้ แล้วทีนี้พอมาคุยกับสต๊าฟไทย คือ ที่จริงเรายังอยู่ถึงวันนั้น แล้วเราค่อยกลับไปหลังจากวันออนเซ็นค่ะ พอเค้าไปคุยกัน คือเหมือนประสานงานกันไม่ดี ผิดพลาด พวกเราทีมไทยก็เลยไม่มีห้องพักกันเลย (หัวเราะ)

ก็เลยถามเค้าตรงรถบัสเลยว่า ตอนที่ดูเอกสารเรื่องห้องพักว่าทำไมไม่มีของทีมไทย สต๊าฟญี่ปุ่นเค้าก็เลยจัดหาห้องแบบ ให้ตรงนั้นเลย ห้องไหนที่ยังพอมีคนว่างก็ใส่เข้าไปเลย แล้วเค้าก็ต้อนรับเพื่อนที่เค้า …

Madara Naito| ก็คือ ให้เราไปนอนกับคนที่เค้าก็รู้ว่าเราสนิทกับทางนั้นด้วย ก็คือเค้าใส่ใจถึงขั้นนั้น ไม่เอาเราจับแยกไปตรงที่แปลกที่แปลกทางอะครับ พอเราเข้าไปเค้าก็จะต้อนรับเราดี เค้าจำชื่อเราได้ อะไรเราได้

PaPiPu| เพื่อน ๆ เค้าก็ต้อนรับเราดีด้วย ไม่ใช่มากีดกัน หรือว่าไม่อยากให้เราพักด้วย

Madara Naito| อย่างของชมพู่เค้าจะสนิทกับทางพม่า แล้วก็ของไนท์ทางอินโดนีเซีย ทางมาเลย์ ก็จะดูแล เทคแคร์ค่อนข้างดีครับ ก็คือถามสารทุกข์สุกดิบกันด้วย

 

24 | หลังจากที่ประกาศผล เรารู้สึกยังไงบ้างคะ?

Madara Naito| ส่วนตัวผมว่าเค้าสมควรจะได้รับอยู่แล้ว เพราะว่าด้วยกติกาอะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วก็อย่างที่ 1 , ที่ 2 , ที่ 3 ผมว่ามันไม่มีอะไรกังขาอยู่แล้ว ทุกคนต่างยอมรับ ณ จุด ๆ นั้น แล้วก็เราไม่ได้รู้สึกเราพ่ายแพ้หรืออะไร เรารู้สึกว่าหลังจากที่เราไปอยู่มา 2 อาทิตย์ เรารู้สึกว่าการแข่งขันมันเป็นแค่ Main นึงของ Event ทั้งหมด แต่สิ่งที่มันสำคัญมาก ๆ เนี่ย มันอยู่ในช่วงที่เราไม่ได้แข่งอะครับ มันมีตรงนั้นที่เยอะกว่าการประกวด

แต่ผมรู้สึกว่า เอ้อ! รางวัลนี้ถ้าเราได้ไปมันก็เป็นเกียรติยศของเราเหมือนกัน เราอาจจะเป็นหน้าเป็นตาประเทศ เป็นโปรไฟล์ของเราที่ดี แต่ผมว่ามันก็มีสิ่งหนึ่งที่มันอยู่ติดตัวกับเราไปนานเหมือนกัน นอกจากรางวัลตรงนี้ ซึ่งทุกคนได้เหมือนกันหมด แล้วทุกคนลงจากเวทีมา ทุกคนเดินมา ก็เหมือนเดิม ไม่ได้มีใครมาแบบรู้สึกต้องเขม่น ต้องมานอยด์ ต้องรู้สึกแย่ ทุกคนรู้สึกแฮปปี้ที่ได้พักสักที จบซะที ชั้นจะได้ไปนอนแล้ว ทุกคนรู้สึกแบบนี้กันหมด (หัวเราะ)

Cosplus| ก็คือเราพอใจในผลงานของเรา แล้วก็รู้สึก Relax เมื่อมันจบลงแล้ว?

Madara Naito| เราก็พอใจ เรารู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่ เพราะว่าเรามีเพื่อนอีกมากมาย มันมีรางวัลอยู่แค่ 1-3 รางวัล แต่เรามีเพื่อนอีกเยอะเลย อีก 40 อีก 30 ประเทศที่แบบ เจอสิ่งที่คุณเจอเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปเศร้ากับตรงนั้น ถ้าแม้ว่าเราไม่ได้กลับมาก็ตามแต่ ถ้าเราคิดว่าอยากจะได้ตรงนั้นจริง ๆ ก็เอาสิ่งที่ได้ตรงนี้ละครับ เตรียมตัวให้มาก ๆ แล้วกลับไปใหม่ก็ยังได้

Cosplus| คุณ PaPiPu มีความเห็นยังไงไหมคะ?

PaPiPu| (เงียบไป) …. ไม่มีความเห็นอะไรแล้วค่ะ โดนแย่งพูดไปหมดแล้วค่ะ (หัวเราะ)

 

25 | ปีนี้มี 40 ประเทศด้วยกัน รวมไทยด้วย เราไปเห็นคอสเพลย์ของหลายประเทศมาก คิดว่าคอสเพลย์ไทยถ้าเทียบกับต่างชาติ เรามีจุดเด่นจุดด้อยตรงไหนบ้างคะ?

Madara Naito| งานเราก็ใกล้อยู่กับอินโดนีเซีย งานประเทศเราจะใกล้เคียงอยู่กับแถบอินโด มาเลย์ แล้วก็พวกฮ่องกง เอ้ย สิงค์โปร์

PaPiPu| สิงค์โปร์

Madara Naito| แถบอินโด สิงค์โปร์ วิธีการทำ วิธีการคอสเพลย์จะใกล้เคียงกับประเทศไทยเราค่อนข้างมากครับ คือเรื่องของการใช้โฟมยาง ผ้าหนัง การใช้พวกโฟมยางเป็นหลัก ประเทศทางนั้นเค้าจะใกล้เคียงกับเรามาก เราก็ไปถามเรื่องของเทคนิคเพิ่มมากขึ้น แต่ว่า มันมีเทคนิคที่ซับซ้อนกว่านั้นในทางยุโรปครับ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมรู้สึกว่า ถ้าประเทศเราศึกษางานทางยุโรปมากขึ้นเนี่ย จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างดีมาก ๆ เลย

PaPiPu| เอาไปปรับใช้

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

 

26 | มีอะไรที่เราเห็นจากในงาน หรือจากเพื่อน ๆ ต่างประเทศ มีอะไรไหมที่เราเห็นแล้วอยากให้มันเกิดในไทยไหมคะ ไม่ว่าจะเป็นการจัด Event หรือทัศนคติต่าง ๆ อะไรแบบนี้ค่ะ?

Madara Naito| จริง ๆ ผมรู้สึกงานเฉพาะตัว ซึ่งมันก็จะมีบรรยากาศที่มันไม่เหมือนที่อื่นอะไรอย่างนี้นะครับ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า .. โอเค .. เค้ากลับไปประเทศเค้า เค้าก็อาจจะมี Moment อีกแบบนึงเหมือนกับที่เราเจอกับที่ไทยไหม ซึ่งอย่างที่ว่ามันเป็น Event พิเศษ ซึ่งทุกคนเค้าจะค่อนข้างที่จะผูกติดกันค่อนข้างเยอะอะครับ ด้วยความที่ว่าเราพูดภาษาเค้าไม่ได้ การถามเกี่ยวกับตัวงานอย่างงี้ค่อนข้างที่จะสมบุกสมบันนิดนึงถ้าเราอยากรู้จริง ๆ แต่เค้าก็พยายามอธิบาย เราก็จะพยายามอธิบายอะไรอย่างงี้

สิ่งที่ผมมองว่าอย่างนึงที่น่ารักมาก ๆ เลย คือเรื่องความรับผิดชอบ เรื่องความสะอาด คือตอนอยู่หลังเวทีเนี่ย พอเข้ารอบไฟนอลเสร็จปุ๊ป มันก็จะมีการจัดคิวใหม่อะครับ ซึ่งทุกคนต้องไปตามล็อค ตามเบอร์ใหม่ ซึ่งต้องย้ายกันหมดเลย ซึ่งมันเกิดขยะจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ได้เยอะ แต่ว่าเป็นเศษขยะจากเศษโฟม จากเศษสก็อตเทป จากสิ่งของที่มันมาจากอุปกรณ์พร็อพ ไม่ใช่ของกินอะครับ พอย้ายเสร็จปุ๊ป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกคนไปหาไม้กวาดมา ไม่มีพ่อบ้านแม่บ้าน ไม่มีสต๊าฟมาสั่งด้วย ทุกคนไปหาอุปกรณ์พวกนี้มาเพื่อเก็บกวาดของตัวเองครับ ทำความสะอาดใน Hall นั้น ทั้งหมดเลย

โดยที่สต๊าฟแค่บอกว่าทุกอย่างเนี่ยมันต้องคลีนนะ ต้องสะอาดนะ แค่นั้น แล้วทุกคนรับผิดชอบตรงที่ว่าเค้าเก็บกวาด เก็บอะไร ซึ่งตรงนี้ไนท์ก็ถ่ายวิดิโอลงเฟสเอาไว้ด้วย ซึ่งผมรู้สึกว่าบ้านเราถ้าทุกคนมีความรับผิดชอบแบบนี้ ต่อให้ไม่ต้องแข่งขัน ต่อให้เป็น Event ทั่ว ๆ ไปเลย แค่เก็บขยะถึงแม้ไม่ใช่ขยะของคุณเองหรือคนช่วยเก็บเนี่ย ผมว่าตรงนี้บ้านเราจะดีขึ้นมากเลยเพราะว่าทุกงานคอสเพลย์เนี่ย มันจะมีขยะทิ้งเอาไว้จากเด็กคอสค่อนข้างเยอะ

ซึ่งตรงนี้บ้านเราเนี่ย ผมว่ามันเป็นเรื่องของมุมมองส่วนบุคคล ที่ต้องแต่ละคนต้องปรับแก้ ต้องช่วย ๆ กันอะครับ ซึ่งเห็นตรงนี้ผมก็ประทับใจ แล้วก็ส่วนของ Event ทั่ว ๆ ไปคือ เค้าจะไม่ยืนกีดขวางทางเดิน เค้าจะหลบข้างตลอด หลบข้างให้คนเดินเข้าเดินออก

PaPiPu| เค้าจะหลบตรงทางเดินตลอด

Madara Naito| เค้าจะหลบทางเดินตลอด ต่อให้แม้คนเยอะแค่ไหน แต่ว่าทางเดินจะโล่งตลอด ตรงนี้เป็นอะไรที่รู้สึกประทับใจที่นู่นมาก ๆ เลย

Cosplus| คุณ PaPiPu มีเสริมอะไรไหมคะ อย่างเช่นเราเห็นอะไรในที่นั่น แล้วอยากให้เกิดขึ้นในไทยบ้าง แบบว่าข้อดีของเค้า อะไรอย่างนี้น่ะค่ะ?

PaPiPu| ก็เรื่องเกี่ยวกับงานใช่ไหมคะ? ก็ถ้าเป็นเรื่องข้อดี ก็ต้องเป็นเรื่องการแบ่งปันข้อมูลหรือแบบความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ อ่ะค่ะ แล้วก็พวกความสะอาดกับพวกเรื่องทางเดินอะไรอย่างนี้ คุณไนท์เค้าพูดไปแล้ว แล้วเวลาแบบมีอะไร เค้าจะคอยแบ่งปันข้อมูล หรือเวลาเราไม่เข้าใจอะไรก็จะช่วยเหลือกันเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะค่ะ ช่วยกันแบกของก็มี

Madara Naito| ถึงไม่ใช่ของทีมตัวเองเค้าก็ช่วย คือประคับประคองกันไป

PaPiPu| เหมือนเป็นเพื่อนช่วย ๆ กันน่ะค่ะ แม้ว่าจะไม่ใช่ของเราก็ตาม ก็ช่วยกัน หรืออย่างถามอะไรนิดนึง เค้าก็จะตอบแบบไม่มีกั๊ก หรือว่าไม่มีเผื่ออะไร คือเค้าเปิดใจแล้วก็ให้ข้อมูล

Madara Naito| อารมณ์คล้าย ๆ กีฬาสีอะครับ ก็ช่วย ๆ กันไป

Cosplus| ก็คือมีความเป็นเพื่อนต่อกัน มากกว่าเป็นคู่แข่ง?

PaPiPu| ใช่ค่ะ เค้าเหมือนแบบคอยแบ่งปันข้อมูล

Madara Naito| ทุกคนไปแบบว่า เหมือนทำตามหน้าที่อะครับ คือไม่เอาเรื่องพวกนี้มาเกี่ยวด้วยน่ะครับ

 

27 | คิดว่าการไปเป็นตัวแทนครั้งนี้ เราได้ประสบการณ์ ได้ข้อคิด หรือว่าได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อน ๆ ตัวแทนชาติอื่นไหมคะ มีอะไรที่เรารู้สึกว่าเปิดหูเปิดตากว่าที่อยู่ในไทยไหม?

Madara Naito| ก็ .. มีบางทีมใช้ทิชชู่ทำพร็อพก็มีครับ ทิชชู่เลย กระดาษชำระทั่ว ๆ ไป คือไปจับก็คือทิชชู่จริง ๆ เค้าก็ยังเอามาทำได้ ทำเป็น Texture น่ะครับ คือที่นู่นจะลงลึกเรื่อง Texture มากกว่า คือบ้านเราขอแค่ดูเหมือนตัวละครแล้วก็งานดูสะอาดตาแค่นั้น แต่ที่นู่นเค้าจะสัมผัสแล้วว่า เกราะเราถ้ามันเป็นเหล็กจับแล้วพื้นผิวต้องรู้สึกว่าเป็นเหล็กอะไรแบบนี้นะครับ ถ้าเกราะของคุณเป็นชุดหนังคือจับแล้วต้องเป็นหนัง หนังจริง ๆ

PaPiPu| คือให้ความรู้สึกสมจริง แล้วก็ในเรื่องของ Texture แบบพื้นผิวอะไรแบบนี้ เค้าจะลงลึกมากกว่าการทำพร็อพแบบด้าน ๆ หรือว่าเป็นแค่แบบว่ารูปร่างเฉย ๆ อะค่ะ

Madara Naito| เค้าใช้อุปกรณ์ที่มีในบ้านเราอะครับ แต่บ้านเราไม่ได้ใช้ แล้วเค้าใช้มันออกมาได้มีประสิทธิภาพค่อนข้างมาก แล้วก็มีบางทีมก็มีการเอาเทคนิคของทีมไทยเรานี่ละ ไปใช้ต่อยอดที่ประเทศเค้าแล้วตอนนี้ ซึ่งเราก็พยายามหาโอกาสเอาเทคนิคที่เค้าสอนเรามา มาใช้ในประเทศไทย เพราะว่าอย่างน้อยเพื่อนเราหรือเด็กคอสในบ้านเรามาเห็น มาถามไนท์อะไรแบบนี้ โอเค เค้าได้รู้ตรงนี้ไปเนี่ย บ้านเราก็จะมีอะไรแปลกใหม่มากขึ้นอะครับ

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

 

28 | คิดว่าเวที WCS ต่างกับเวทีประกวดอื่น ๆ ยังไงบ้างคะ?

Madara Naito| ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของความปรองดองค่อนข้างมากอะครับ แล้วก็การผูกสัมพันธ์ค่อนข้างเยอะ อย่างบ้านเรา โอเคก็แข่งไป ก็เราก็รู้ว่าบางคนเค้าอยากได้เงินค่าขนม อยากได้เงินรางวัล ไนท์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน บางทีเราก็อยากรักษาแชมป์ที่เราเคยชนะมาในครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้งอย่างงี้ เป็นเรื่องของการต่อสู้ค่อนข้างมากในบ้านเรา

แต่ว่าที่นู่นก็คือต้องช่วยประคับประคองกันไปครับ มันเป็นเรื่องของมิตรภาพเป็นซะส่วนใหญ่ เป็นการแข่งขันซะส่วนน้อยครับที่โน่น เราจะรู้สึกเหมือนไปกีฬาสี ต้องผูกสัมพันธ์ให้มาก ๆ เข้าไว้ เพราะว่าบางคืนบางทีมีการไปปาร์ตี้ เค้าจะไม่พูดเรื่องการแข่งขันเลย จะไม่มีการพูดเรื่องอะไรที่ซีเรียสเกี่ยวกับการแข่งขันขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว เพื่อให้บรรยากาศมันไม่ดูตึงเครียดนะครับ จะไม่มีการพูดถึงเรื่องตรงนี้ขึ้นมาเลยจริง ๆ

ทุกคนที่เค้าไปเขารู้ว่า ต้องรักษาสัมพันธ์ตรงนี้เอาไว้นะครับ มันเป็น Main หลักจริง ๆ ซึ่งเราไป เราก็ใช้เวลาตรงนี้เรียนรู้สักพัก เราก็รู้สึกว่า เอ้ย! มันไม่ใช่การแข่งขันนะ มันเป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลาย ๆ ประเทศน่ะครับ ซึ่งเรื่องรางวัลเรื่องการแข่งมันเป็นพาร์ทที่เล็กมาก ๆ จริง ๆ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่ดูเค้าจะโฟกัสกับการแข่งตรงนี้น่ะครับ ซึ่งต่างจากภายในค่อนข้างมากเลย

Cosplus| คุณ PaPiPu รู้สึกยังไงบ้างคะ?

PaPiPu| เห็นด้วยค่ะ พูดแทนไปหมดแล้ว (หัวเราะ) ด้วยความที่นู่น เราก็พูดถึงสิ่งอะไรที่เราได้มา คือเหมือนแบบ พูดกัน ปรึกษากันว่าเราได้อะไรกลับมาบ้างเรียบร้อยแล้ว

Madara Naito| ก็จะมีเรื่อง Joke คือ ปาร์ตี้คืนแรกไนท์ก็ทำผิดพลาดเหมือนกันเรื่องตรงนี้ ก็คือเป็น Party แรกเลยก็คือเค้าไปเพื่อผูกสัมพันธ์เป็นงานแรกอะครับ ทุกคนยังไม่มีเวลาได้รู้จักกัน คือทุกคนจะรู้จักกันจากงานนี้แหละครับ ซึ่งมันเป็นงานแบบร้านอาหารเลย แล้วก็เรากำลังจะกลับห้องแล้ว เรารู้สึกว่าเราไม่ใช่สาย Hangout ไม่ใช่สายดื่มอะไรแบบนี้ เพราะเครื่องดื่มอาหารจะสไตล์ผู้ใหญ่หน่อย เราก็ไม่มีอะไรจะดื่ม (หัวเราะ) ไนท์ก็ดื่มไปนิดนึง พอเค้าให้ขึ้นไปพูดบนเวทีก็ทุกคนจะเฮ แต่ไนท์ขึ้นไป ไนท์พูดว่าอะไรนะ ..

PaPiPu| ก็พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า

Madara Naito| ก็พูดเป็นภาษอังกฤษว่า “Everyone you wanna fight” (หัวเราะ)

PaPiPu| (หัวเราะ) พูดประมาณว่าอยากจะสู้กับทุกทีม ประมาณนี้ค่ะ ด้วยความที่เค้ากินไป คือดื่มพวกแอลกฮอลล์ไปส่วนนึง เค้าก็พูดอะไรไปไม่รู้ อยากจะออกไปสู้กับทุกประเทศเลย ประมาณนี้

Madara Naito| ประมาณว่า ผมนี่อยากจะออกไปสู้กับทุกคน ซึ่งพอออกมาเราก็ งงว่าเราทำอะไรลงไป (หัวเราะ)

PaPiPu| (หัวเราะ) ส่วนทางนี้ก็พูดประมาณว่าอยากรู้จักเพื่อน ๆ แต่! พอคนนี้เค้าพูดขึ้นมา เราก็หันไป … คือหันไปมองแบบ .. คือไม่ได้ตกลงกันค่ะว่าจะแบบ .. (หัวเราะ)

Madara Naito| คือชมพู่พูดก่อน พูดว่าอยากรู้จักทุกคน พอผมพูดไป ผมไปพูดว่าจะไปสู้กับทุกคน (หัวเราะ) ซึ่งทุกคนก็ โว้วว .. แล้วก็เงียบไปพักนึง ซึ่งเรามารู้ตัวทีหลังว่า … เราทำอะไรลงไป (หัวเราะ)

PaPiPu| คือไม่ควรจะไปพูดแบบนี้

Madara Naito| ซึ่งตรงนี้เราถึงกับนอนไม่หลับไปเลย เราแบบ .. ซวยแล้ว จะมีใครคบไหม แต่ว่าโชคดีตรงที่ทุกคนลืม ๆ ไป ก็คิดว่ามันเป็นเรื่อง Joke เราก็ได้แต่หวังว่าคนจะลืมไปเลย (หัวเราะ) ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่น ซึ่งไนท์ก็เพิ่งได้เรียนรู้ ณ วันนั้นน่ะครับ ว่ามันไม่ใช่การแข่งขัน มันเป็นการผูกสัมพันธ์มากกว่า

PaPiPu| เหมือนงานกีฬาสี

Madara Naito| แต่มีแค่ไนท์คนเดียวที่ไปทำอะไรแบบนี้นะ ก็เลยรู้สึกกลับมาแล้วยังอาย (หัวเราะ) แต่เราก็ได้ไปอธิบายกับเพื่อนเค้าแล้วว่าศัพท์ในหัวเราน้อย เราพูดประโยคผิดไปเยอะเหมือนกัน จากเรื่องที่เกิดวันนั้น เราก็ได้เรียนรู้กลับมาครับ

"Interview

 

29 | จากการที่เรากลับมาหลังจากเราไปเป็นตัวแทน คิดว่าเราได้อะไรกลับมาบ้างไหมคะ คือมีมุมมอง มีความคิดอะไรที่เราเปลี่ยนไปไหม ที่เรารู้สึกว่าเราได้พัฒนามุมมองความคิดนี้ จากการที่เราได้ไปเป็นตัวแทน?

Madara Naito| มุมมองเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะครับ อย่างที่บอกไปตอนแรกคือ เราอาจจะรู้สึกว่าเราเก่งที่นี่ แต่ว่าความจริง เราก็ยังอยู่ในกรอบค่อนข้างเยอะครับ ในประเทศเรา เราอาจจะรู้สึกว่า เอ้อ! มันเป็นงานที่โอเค เป็นงานที่เจ๋งละ แต่พอกลับมาคือความคิดมุมมองเรา ไม่เหมือนเดิมเลย เรารู้สึกว่าเราทำได้มากกว่าเดิมครับ มันเป็นสิ่งที่พัฒนาตัวเราเองแบบก้าวกระโดดไปเลย โดยที่ตัวเราเองก็ไม่ได้ตั้งใจว่าเราจะต้องเก่งขึ้นนะ เราจะต้องอะไรขึ้นนะ แบบนั้นนะครับ

Cosplus| ก็คือเราได้ความคิดทั้งว่าเราจะพัฒนาตัวเองด้วย แล้วเราก็รู้สึกว่าโตขึ้นด้วยจากการไปที่นั่น

Madara Naito| ครับผม

Cosplus| แล้วคุณ PaPiPu ล่ะคะ

PaPiPu| บอกไม่ถูกเลยค่ะ ด้วยความที่ประสบการณ์เราน้อยอยู่แล้ว ก็เหมือนได้เปิดมุมมองเปิดโลก ด้วยความที่เราเห็นงานพร็อพหรืออะไร เวลาเค้าคอสเพลย์ชุดอลังอย่างงี้ ของประเทศไทยเราก็จะเห็นแบบนึง แต่พอเราไปญี่ปุ่นเหมือนแบบเราเปิดโลกกว้าง ประมาณนั้นค่ะ (หัวเราะ)

Cosplus| คือเราก็รู้สึกว่าประสบการณ์เราน้อย พอไปเลยยิ่งกว้างแบบฉีกออกไปเลย?

PaPiPu| ใช่ค่ะ คือปกติก็น้อยอยู่แล้ว คือมันกว้างมาก! ไปเลยค่ะ คือคนที่มีประสบการณ์น้อยจริง ๆ ค่ะ ก็รู้สึกพัฒนาขึ้นไปพอสมควร ถ้าเปรียบเทียบก่อนที่จะไปกับหลังไปคือคนละเรื่องเลย

Madara Naito| ไนท์รู้สึกว่า ถ้าจับน้องพู่ไปลงเวทีใหญ่ ๆ แบบ Thailand Game Show หรือ Thailand Comic Con แบบเนี้ย ผมว่าน้องเค้าก็น่าจะเอาอยู่อะครับ ผมว่าน่าจะไหวนะตอนนี้

PaPiPu| หรอ … (หัวเราะ)

Cosplus| อย่างน้อยคุณ PaPiPu ก็ถือว่าได้พัฒนาภาษาญี่ปุ่นแน่นอนค่ะ

Madara Naito| ใช่ ๆ ผมว่ามันก็ดีกับเค้า ได้ใช้ภาษาตรงนี้ในการทำงาน ก็เหมือนเค้าได้ไปลองภูมิ

PaPiPu| ใช่ค่ะ บางทีการสื่อสารอย่างในไทยเรา จะหาได้สักกี่คนที่เค้ามายอมคุยเป็นภาษาญี่ปุ่นกับเราทุกวัน มันไม่มีอยู่แล้วค่ะ นอกจากเราจะไป … อย่างมากเราก็ได้แค่เพื่อนคุยแบบพิมพ์เป็นภาษาอย่างเดียว มันไม่ได้ฝึกเรื่องการคุยแล้วก็แก้สถานการณ์เฉพาะหน้า เผื่อแบบมีเหตุการณ์เข้าใจผิดหรือต้องถามเรื่องพวกอะไรให้แน่ใจที่มันเป็นทางการน่ะค่ะ ซึ่งพอไปญี่ปุ่นมันต้องทำอย่างนี้บ่อยมาก ค่อนข้างบ่อย (หัวเราะ)

Cosplus| ก็คือเราได้พัฒนาขึ้นไปทั้งมุมมอง ทั้งความสามารถ

PaPiPu| ความสามารถภาษา คือ พอกลับมาแต่ละคนก็เหมือนว่าอังกฤษก็พอจะมีขึ้นนิดนึงด้วย

Madara Naito & PaPiPu| วิธีการทำงานก็เปลี่ยนด้วย

Madara Naito| เปลี่ยนเลยจากที่ทำ ๆ อยู่ปกติก็เปลี่ยนไปเยอะมาก แล้วก็รู้สึกว่ามันดีขึ้นน่ะครับ เราทำงานเร็วขึ้นแล้วก็ง่ายขึ้น เหมือนกับว่าเรามองอะไรแตกฉานมากขึ้นน่ะครับ

 

30 | ทั้งสองคนฝ่าฟันอะไรมาด้วยกันขนาดนี้ มีอะไรอยากบอกกันและกันไหมคะ?

Madara Naito| จริง ๆ ผมรู้สึกว่ามัน .. มันเป็นอะไรที่แบบ .. มันดูเป็นเรื่องใหญ่สำหรับวงการคอสเพลย์บ้านเรา แต่ว่า .. สิ่งที่ต้องเจอหลังจากนี้นะครับ มันต้องสาหัสสากรรจ์กว่า เพราะน้องเค้าก็เพิ่งเรียนจบ ยังไม่ได้ทำงานเลย ผมก็บอกน้องเค้าอยู่เสมอว่า ไอ้การไปโรงเรียนทุกวันนี่มันง่ายนะ พ่อแม่ก็ส่งไป มีค่าขนมอะไรงี้ แต่วันนึง ถ้าเราต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเราเองแล้ว แล้วคอสเพลย์ไปด้วยเนี่ย มันคงไม่ง่ายอย่างที่เค้าเจอ

เราก็คือสอนเค้าเรื่องนี้อยู่ทุกวันอยู่แล้ว ก็คิดว่ามันยังไม่ใช่บทสรุปของสิ่งที่ผมกับเค้าต้องเจอในเรื่องของการทำงานน่ะครับ เพราะก็คิดว่า คงจับคู่ลงประกวดอีกสักงานนึง เพื่อให้มันย้ำให้แน่ใจอะครับว่า .. ไนท์อาจจะคิดว่า โอเคตัวเองน่าจะเก่งระดับนึงละ แต่เราก็อยากให้ทางเค้ามั่นใจว่า เค้าก็เก่งได้เหมือนกัน เค้าเป็นคู่รับคู่ส่งของเราที่ .. ทุกคนอยากจะเจอคู่คอสเพลย์ของตัวเองน่ะครับ คู่ที่สามารถที่จะคอสอะไรด้วยกันก็ได้ สามารถที่จะแข่งไปด้วยกันโดยที่ไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนอยากเจอแบบนั้นหมดแหละ เป็นอะไรที่หายากมากครับ

เราก็ยังอยากลองแข่งดูก่อน เพื่อย้ำตรงนี้ให้ชัดเจนน่ะครับ แต่ว่าถ้าเป็นความรู้สึก ผมรู้สึกว่าผมโชคดีที่น้องเค้าเป็นคู่ เพราะว่าถ้าไม่ใช่น้องเค้า ผมรู้สึกว่าผมกลับมาอาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ แย่กว่าที่เจอที่นู่นน่ะครับ มันอาจจะแย่กว่านี้ มันอาจจะไม่ได้ผ่านมาแบบนี้เลยก็ได้

PaPiPu| ด้วยความที่เราก็อยากจะเข้ามาตรงนี้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ แต่เราไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามาถึงในจุด ในการเข้ามาคอสเพลย์ คือเป็นแค่แบบคนธรรมดาที่มาเดินตามงานคอสเพลย์ เดินดู แล้วก็อยากคอส อยากนู่นอยากนี่ แล้วก็พอเห็นว่าเค้าคอยดึงเรา ตอนแรกมาช่วยก่อน เราคิดว่า เอ้อ .. ถ้าสมมุติถ้าเค้าไม่ดึงเรามาให้คอยช่วย ลองทำหรืออะไรใหม่ เราก็อาจจะไม่ได้มาประกวด แล้วก็ไม่ได้ไปถึงจุดที่ อยู่ดี ๆ ก็ได้ไป WCS ก็ได้ค่ะ

มันเหมือนเป็นประสบการณ์ที่เราได้รับแบบค่อนข้างเยอะมาก แล้วก็ได้พัฒนาทักษะเยอะในเวลาที่ค่อนข้างสั้นมาก ๆ (หัวเราะ) ก็ต้องขอบคุณเค้าตรงนั้นที่เหมือนเค้าเห็นเราแล้วเอาไปทำให้เราได้มีโอกาส ไปได้ถึงตรงนั้นด้วย

 

31 | ทั้งสองคนคิดว่าการที่เรามาทำทีมด้วยกัน เราควรต้องมีอะไรบ้างคะ? ต้องมีแนวคิด มีทัศนคติในการทำงานเป็นทีมยังไงบ้าง?

Madara Naito| จริง ๆ ผมว่ามันต้องมีคนนึงนำ แล้วคนนึงตามน่ะครับ ถ้าคน 2 คนแข่งกันจะเป็นผู้นำ ไนท์เคยเจอแบบนั้นมาแล้ว สุดท้ายมันไม่มีใครยอมใครน่ะครับ ถึงแม้อีกคนจะยอมแล้วก็ตามที แต่อีกคนจะไม่หยุดที่จะขึ้นมา ผมว่าเราควรไปด้วยกัน เราควรรู้ว่า โอเค เราควรนำตรงไหน ตรงไหนเราควรตาม ไม่ใช่เรานำตลอด เราแบ่งตรงนี้กันเรื่อย ๆ เรื่องไหนที่เรารู้ดีกว่า เราก็พาเค้าไป ตรงไหนที่เค้ารู้ดีกว่าก็ให้เค้านำทางเราไป แบ่งกัน แบ่งรับแบ่งสู้ด้วยกัน ตรงนี้สำคัญมาก ๆ

น้อยคนจะเจอเรื่องตรงนี้ หรือจะเจอคนแบบนี้ครับ ด้วยความที่ว่ายังไงผมกับเค้าก็ต้องทำงาน เพราะว่าการเป็นนักเขียนการ์ตูน เป็นความฝันของเรามาก ๆ เลยที่เราอยากจะไปทำตรงนั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้มันช่วยเติมช่องว่างให้กันและกันมาตลอดอยู่แล้ว เพราะไนท์ไม่ได้ภาษา แต่ไนท์ได้เรื่องวาดรูป เค้าได้ภาษาแต่เค้าวาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องคอสเพลย์ เรื่องทำงานช่วยกันเติมช่องว่างให้กันน่ะครับ

PaPiPu| แล้วก็เวลามีปัญหา หันหน้าคุยกัน

Madara Naito| แล้วก็ประคองกันไป อะไร ๆ ผมว่ามันน่าจะผ่านไปได้ครับ ต่อให้เป็นเวลาที่มีปัญหาก็ตามแต่ อย่างที่ผมเล่าตอนไแข่ง มันมีปัญหากันถึงขั้นที่ว่า ไม่คุยกันก็มีครับ แยกกันเดิน แยกกันนอนก็มี แต่ว่าก็ต้องคุยกัน

สุดท้ายคือยังไงมันก็ต้องลดทิฐิตัวเองทั้งคู่ แล้วก็ประคองกันไป ผมว่าทีมไหนก็ตามแต่อย่างน้อยทำตรงนี้ได้ ไปที่นู่นไปแข่งยังไง ผมว่ายังไงก็กลับมาแฮปปี้ ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตามแต่

 

32 | มีโอกาส อยากจะกลับไปเวที World Cospaly Summit อีกไหมคะ?

Madara Naito| ตอนนี้ไนท์คิดว่าไนท์อยากกลับไป อยากกลับไปเพื่อเอาชนะ เพราะไนท์ไม่รู้ว่าถ้ากลับไป ไนท์จะได้เจอเพื่อนแบบปีนี้หรือเปล่า เพราะสำหรับไนท์ปีนี้มันก็คง มันก็อาจจะเป็นอะไรที่แฮปปี้มาก ๆ ซึ่งตัวแทนต่างประเทศที่เค้ากลับมาเค้าก็บอกว่าปีก่อน ๆ มันไม่ได้เฮฮาขนาดนี้นะ มันไม่ได้ดูสนุก ๆ แฮปปี้อะไรขนาดนั้น ซึ่งไนท์ก็ไม่รู้ว่าถ้ากลับไปจะเจอบรรยากาศแบบนี้อีกไหม หรือจะเจอบรรยากาศแบบซีเรียสเลย

แต่ไนท์ก็อยากจะ .. ถ้าเป็นตัวเรา เราคิดว่าเราทำได้ เราก็อยากจะกลับไป แล้วทำให้ประเทศไทยได้ที่ 1 ซักครั้งนึง ให้โลกเค้ารู้ว่า เราทำได้นะ ถึงแม้ว่ามันจะเริ่มจากคน ๆ นึงก็ตามแต่ ถ้าใครสักคนนึงทำได้ ผมเชื่อว่าต่อ ๆ ไป มันก็จะมีแบบแผนซึ่งไทยเราก็อาจจะคว้าตรงนั้นมาได้มากขึ้นน่ะครับ ก็อยากจะทำตรงนั้นให้มันเกิดขึ้น

Cosplus| แล้วคุณ PaPiPu ล่ะค่ะ อยากกลับไปอีกไหม

PaPiPu| (หัวเราะเขิน ๆ)

Madara Naito| อยากกลับไปในฐานะสต๊าฟ

PaPiPu| ก็ถ้าเป็นไปได้ก็คือ ก็อยากกลับไปค่ะ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะ ของคนแข่งหรือว่าเป็นสต๊าฟ หรือว่าคนที่คอยช่วยเหลือประสานงานอะไร เพื่อที่จะได้ไปคอย Support อ่ะค่ะ ให้คนที่เค้าไปแข่งได้รับรู้ว่ามันต้องมีอะไร ต้องทำอะไรจะได้ให้เป็นประโยชน์ด้วย กับคนแข่งรุ่นหลัง ๆ ค่ะ

 

33 | มีอะไรอยากบอกกับคนที่คอยเชียร์ คอย Support เรา มีใครที่อยากจะขอบคุณไหมคะ ?

PaPiPu| เยอะแยะเลย (หัวเราะ)

Madara Naito| ก็มากมาย .. เราไล่ขอบคุณไปใน Facebook แล้วอะไรแล้ว แล้วก็เป็นคนที่เราเจอหน้าเค้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เวทีนี้ แต่บางคนเค้าก็ช่วยเรื่องชีวิตประจำวันอยู่ตลอด ซึ่งถ้ามีโอกาสวันใดวันนึงที่เค้าได้ไป หรือเค้าต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราก็พร้อมที่จะไปช่วยเค้าแบบที่เค้าช่วยเราครับ ก็คือขอบคุณทุกคนอยู่ตลอดอยู่แล้ว

PaPiPu| อยากจะขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุน ตั้งแต่รอบพัทยาแล้ว ด้วยความที่เป็นมือใหม่ เพิ่งขึ้นเวทีตอนนั้นก็น่าจะประมาณครั้งที่ 3 คนก็จะคอย Support คอยช่วยเหลือ ว่า .. ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็รอดไปก่อน คอยให้กำลังใจเรา แล้วก็คอยแนะนำ คนที่เป็นพวกผู้ใหญ่ต่าง ๆ หรือพี่ ๆ ที่เค้าคอยแนะนำให้พวกการแสดง แนะนำวิธีเพิ่มให้ แล้วก็มีพี่ที่รู้จักอีกทีก็ให้ความช่วยเหลือมาด้วย ก็อยากจะขอบคุณทุกคนค่ะ

 

34 | มีอะไรทิ้งท้ายหรืออยากจะแนะนำกับคนที่จะประกวดปีต่อ ๆ ไหมคะ?

Madara Naito| ครับ … ก็ถ้าใครคิดจะไปจริง ๆ สิ่งนึงที่บ้านเราควรปรับเปลี่ยนได้ตั้งนานแล้วก็คือเรื่อง Mind Set น่ะครับ คือ WCS บ้านเรามีทุกปีมาตลอดหลายสิบปีล่ะ ถ้าใครคิดว่าอยากจะลง อยากจะชนะ อยากได้รางวัล อยากสร้างผลงานดี ๆ อย่ารอให้ตัวงานประกาศนะครับ ทำรอไว้เลย ทำข้ามปี รอไปเลยให้มันตกผลึกกับชุดนั้นมาก ๆ เลยอะครับ พอถึงเวลาคุณก็แค่ไปเปิดคลังแสง แล้วเอามันออกมาใช้เลยดีกว่า เพราะว่าบ้านเรา เรายังเน้นรอให้งานประกาศแล้วค่อยไปทำอย่างงี้ เหมือนสิ่งที่ไนท์ทำ (หัวเราะ) มันมาเหนื่อยทีหลังอะครับ ถ้าเราตั้งใจว่าจะไปจริง ๆ ก็แนะนำว่าทำการบ้านเยอะ ๆ แล้วทำชุดรอเอาไว้เลยดีกว่า พอถึงเวลาคุณเอามาใส่ ผมเชื่อว่ามันต้องออกมาดีแน่ ๆ อันนี้คือสิ่งที่อยากจะบอกครับ

PaPiPu| อย่างที่บอกค่ะว่าเรื่องเวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างสำคัญ คือถ้าเราจะประกวดของ WCS จริง ๆ ดูอย่างของประเทศอื่นเค้าใช้เวลาเตรียมตัวเป็นปี ๆ ค่ะ ถ้าเราอยากจะให้ดีแบบเค้า คว้ารางวัลอะไรแบบนั้น เราก็ต้องใช้เวลาเตรียมตัวค่อนข้างนานแบบนั้นเหมือนกัน ก็เหมือนกับคุณไนท์น่ะค่ะ

Interview | Madara Naito และ PaPiPu ตัวแทนประเทศไทยประกวดคอสเพลย์ระดับโลก World Cosplay Summit 2019

 


เป็นอย่างไรบ้างคะกับบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณคุณ Naito และ PaPiPu ที่สละเวลาการให้สัมภาษณ์นะคะ ถือเป็นเรื่องราว ประสบการณ์ดีๆตั้งแต่ช่วงตัดสินใจลงประกวดรอบคัดเลือกประเทศไทย จนมาถึงวินาทีที่ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย World Cosplay Summit 2019 และช่วงเวลาสำคัญกับการไปประกวดรอบสุดท้ายที่ญี่ปุ่น ก็หวังว่าเพื่อนๆคอสเพลย์จะชอบบทสัมภาษณ์นี้นะคะ ถือเป็นบทสัมภาษณ์ที่ยาวจัดเต็ม ไม่มีกั๊กจริงๆค่ะ

ทิ้งท้ายขอโพสต์คลิปวิดิโอการประกวดของทั้งสองทั้งในรอบคัดเลือกตัวแทนประเทศไทย และรอบสุดท้าย ณ นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่นค่ะ

และเพื่อนๆสามารถย้อนไปอ่านรายงาน World Cosplay Summit 2019 รอบสุดท้ายได้ที่ “ออสเตรเลียสุดอลังคว้าแชมป์!! รายงานสรุป World Cosplay Summit 2019

 

และใน Cosplus นี้ยังมีบทสัมภาษณ์ตัวแทน World Cosplay Summit ในอดีตอีกด้วย สามารถไปอ่านกันได้ใน Tag WCSThaiRepresent ได้นะคะ

หากว่าชอบบทสัมภาษณ์นี้อยากจะขอฝาก Like & Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทางเราในการหาอะไรดีๆมาฝากเพื่อนๆคอสเพลย์ต่อไปค่ะ

Cosplus by Props&Ops
Interview by Xora

Special Thanks & Info
Madara Naito
Facebook : https://www.facebook.com/NAITO.madara
⋅ PaPiPu
Facebook : https://www.facebook.com/LillyJoker/

⋅ Gallery – Cosplay Gran Prix 2019 x World Cosplay Summit รอบพัทยา
⋅ Gallery – Cosplay Gran Prix 2019 x World Cosplay Summit รอบสุดท้าย
Thai World Cosplay Summit ใน CosplayWiki

Special Thanks Photos Credit

World Cosplay Summit Facebook
Worldcosplaysummit.jp